วันที่ 8 ต.ค.เวลา 09.00 น.นายวุฒิ ดีเฆม ซึ่งเป็นเจ้าของอู่ซ่อมรถยนต์วุฒิการช่าง ไม่มีเลขที่ ตั้งอยู่ริมถนนซอย ณ นคร ต.บางนาค อ.เมืองนราธิวาส ได้แจ้งต่อ ร.ต.ต.ฟาฮามี เฮงปียา ร้อยเวร สภ.เมืองนราธิวาส ว่า มีเหตุระเบิดขึ้นภายในอู่ซ่อมรถยนต์ จึงพร้อมด้วย พ.ต.ท.สมชาย พนมอุปการ รอง ผกก.สส.สภ.เมือง พ.ต.ท.จันที แจ่มจันทร์ หน.กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด นปพ.จ.นราธิวาส รวมทั้งกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารจำนวนหนึ่งรุดเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ
พบว่าที่บริเวณหลังคาหน้าอู่มีร่องรอยถูกระเบิดเป็นรูโหว่ และมีเศษซากชิ้นส่วนของเครื่องยิงลูกระเบิดแบบเอ็ม. 203 ตกกระจายเกลื่อนบริเวณ โดยเฉพาะบริเวณด้านล่างซึ่งอยู่ใต้หลังคา เจ้าหน้าที่พบรถยนต์เก๋งยี่ห้อมาสด้า สีบรอนส์เงิน ทะเบียน กข 5165 นราธิวาส และรถยนต์เก๋งยี่ห้อวอลโว่ สีเทา ทะเบียน กข 1661 นราธิวาส ถูกสะเก็ดเครื่องยิงลูกระเบิดแบบ เอ็ม.203 ได้รับความเสียหายที่บริเวณกระจกและตัวถัง เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
จากการสอบสวนทราบว่า ในช่วงคืนที่ผ่านมาเวลา 03.00 น. ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นสนั่นหวั่นไหวบริเวณภายในซอยถนน ณ นคร และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตระเวนตรวจสอบเหตุดังกล่าวแต่ไม่มีผู้ใดพบเห็น จนกระทั่งช่วงเช้านายวุฒิ เจ้าของอู่ซึ่งได้เดินทางมาเปิดอู่ให้บริการแก่ลูกค้าตามปกติ และพบว่ารถยนต์ของลูกค้าจำนวน 2 คันที่นำมาซ่อมมีลักษณะคล้ายถูกวางระเบิด จึงแจ้งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบดังกล่าว
ด้าน ร.ต.ต.ฟาฮามี พนักงานสอบสวน เปิดเผยว่า เหตุที่เกิดขึ้นผู้เชี่ยวชาญที่เดินทางมาตรวจสอบระบุว่า พฤติกรรมของคนร้ายที่ก่อเหตุในครั้งนี้ มีลักษณะเหมือนกับการใช้เครื่องยิงลูกระเบิดแบบเอ็ม.203 (เอ็ม 79) ยิงถล่มใส่ฐานปฏิบัติการณ์ของเจ้าหน้าที่กองกำลังฝ่ายต่างๆเหมือน 3-4 เดือนที่ผ่านมา แต่ในครั้งนี้เจ้าหน้าที่กำลังเร่งสืบสวนสอบสวนว่า กลุ่มคนร้ายมีความประสงค์ใด จะเป็นความขัดแย้งหรือสร้างสถานการณ์ร้ายรายวัน เพื่อให้พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดความปั่นป่วน
อีกด้นหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้เดินทางลงปฏิบัติภารกิจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้พร้อมพล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เสนาธิการทหารบก โดยกล่าวก่อนเดินทางว่า เป็นการไปพูดคุย ไม่อยากใช้คำว่า มอบนโยบาย ความจริงตนให้นโยบายการปฏิบัติไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.เป็นต้นมา และแนวทางการปฏิบัติคงไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากมาย เพียงแต่เน้นไปที่การปฏิบัติให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีการประเมินผลตามห้วงระยะเวลาที่กำหนด ไม่ว่าจะเป็นแนวทางด้านความมั่นคง การพัฒนาและการสร้างความเข้าใจในเรื่องคดีความกฎหมายว่า จะมีผลวันที่เท่าไร อย่างไร
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ส่วนการเข้าถึงประชาชนก็ทำอยู่แน่นอน เพราะเป็นแนวทางของกองทัพและรัฐบาลที่พยายามอธิบายทำความเข้าใจกับประชาชน ซึ่งแต่เดิมในหลายสิบปีที่ผ่านมามีปัญหาเรื่องความเข้าใจซึ่งกันและกัน อาจเป็นเพราะเงื่อนไขความคิด ความเชื่อที่แตกต่างกัน เมื่อเราเข้าไปปฏิบัติงานจะเริ่มจากจุดนี้ก่อน แล้วคิดว่า ทำอย่างไรให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้าถึงได้ เพราะตอนแรกประชาชนปฏิเสธ เมื่อเราเข้าถึงประชาชนได้เราก็ไปทำความเข้าใจว่า ประชาชนต้องการให้กองทัพช่วยพัฒนาเรื่องอะไรบ้าง หรือสิ่งที่ประชาชนไม่เข้าใจกองทัพ คือ เรื่องอะไร เพื่อเราจะได้แก้ไขดำเนินการให้เป็นไปตามที่ประชาชนต้องการ ดังนั้นต้องเรียนว่า ความเข้าใจเป็นสิ่งแรกที่เราต้องเน้นย้ำให้กำลังพลทุกนายรีบดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 1317 ครั้ง