การระเบิดที่สมานเมตตาแมนชั่น ที่สร้างความตกตะลึงให้กับคนไทยทั้งประเทศไทย ที่ไม่คิดถึงว่า จะมีคนไทยคนใดคิดผลิตระเบิดที่มีอานุภาพร้ายแรง เพื่อทำลายประเทศไทย ซึ่งจากข้อมูลจากฝ่ายการข่าวพบว่า กลุ่มนักรบดำ 64 คน กำลังออกปฏิบัติป่วนเมืองครั้งใหญ่ใน 3 เดือนนี้ เป็น 3 เดือนอันตรายที่ต้องระวังอย่างสูง
การปฏิบัติการ “ป่วนเมือง” ในพื้นที่กทม. นอกจาก สมัย วงศ์สุวรรณ กษิ ดิฐธนรัชต์ อำพร หรือครูแขก ใจก้อน แล้วยังมีตัวละครที่ชื่อ “สมภพ” และ ร.อ.สำราญ ถือว่าเป็น 2 ใน “นักรบชายชุดดำ” ใน 64 คน ที่ร่วมปฏิบัติการ ซึ่งหน่วยงานด้านความมั่นคงกำลังเร่งควานหาตัว เพื่อที่จะนำไปสู่การไขความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ระเบิดที่ “สมานเมตตาแมนชั่น” ย่านบางบัวทอง จ.นนทุบรี
การข่าวระบุว่า ทั้ง “สมภพ-ร.อ.สำราญ” กลับจากการฝึกทางยุทธวิธีเกี่ยวกับการต่อสู้รบในเมืองจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยกลับมาร่วมปฏิบัติการก่อเหตุเมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่บริเวณสี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน
เพื่อที่จะนำไปสู่การไขความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ระเบิดที่ “สมานเมตตาแมนชั่น” ย่านบางบัวทอง จ.นนทุบรีการข่าวระบุว่า ทั้ง “สมภพ-ร.อ.สำราญ” กลับจากการฝึกทางยุทธวิธีเกี่ยวกับการต่อสู้รบในเมืองจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยกลับมาร่วมปฏิบัติการก่อเหตุเมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่บริเวณสี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนินก่อนที่จะหายเข้าไปในฝูงมวลชนคนเสื้อแดงที่ย้ายไปปักหลักชุมนุมอยู่ที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ โดยร่วมกับเพื่อน “นักรบโรนิน 47”
เหตุการณ์ระเบิดที่ “สมานเมตตาแมนชั่น” ตัวละครผู้นี้ ก็เป็นหนึ่งในผู้ร่วมประกอบวัตถุระเบิด แต่การประกอบวัตถุระเบิดยังไม่แล้วเสร็จ ตัวละครที่ชื่อ “สมภพ” ก็ต้องออกไปตระเวนหาสถานที่ในการก่อเหตุในพื้นที่ จ.นนทบุรี โดยปล่อยให้ นายสมัย วงศ์สุวรรณ์ ผู้ที่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุประกอบระเบิดตามลำพัง แต่ดันเกิดผิดพลาดทางเทคนิค จึงทำให้ระเบิดที่ประกอบไว้ดันทำงานเสียก่อน
จากการเช็กประวัติของหน่วยงานข่าว ระบุว่า สมภพ-ร.อ.สำราญ เป็นอดีตนักรบดำสังกัดค่ายปักธงชัย จ.นครราชสีมา ซึ่งถูกชักชวนเข้ามาเป็น “นักรบโรนิน 47” ด้วยการชักนำจาก “เสธ.แดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล อดีตนายทหารสังกัดกองทัพบก
ร.อ.สำราญ เป็นครูฝึกที่เชี่ยวชาญวัตถุระเบิด จากการค้นในรถของ ร.อ.สำราญ เจอระเบิดลูกเกลี้ยงจำนวนหนึ่ง พร้อมระเบิดซีโฟร์ และอุปกรณ์ประกอบระเบิดอีกจำนวนหนึ่ง
ทางการข่าวระบุว่า เขาเข้ามาร่วมอุดมการณ์ในการต่อต้านรัฐบาลภายใต้การนำของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จากนั้นได้เดินทางไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อทำการฝึกทางยุทธวิธีในการสู้รบในเมือง จากประเทศเพื่อนบ้าน
โดยการเดินทางไปในครั้งนี้มีทั้งหมด 64 คน ได้รับการสนับสนุน “ท่อน้ำเลี้ยง” จากนักการเมืองระดับชาติที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล ที่มีอักษรย่อ “พ.”
หลักสูตรที่ “นักรบชายชุดดำ” ทั้ง 64 คนเดินทางไปฝึกไม่เพียงแค่หลักสูตรการฝึกทางยุทธวิธีในการสู้รบในเมือง แต่มีหลักสูตรเฉพาะทาง คือการประกอบวัตถุระเบิดแบบใหม่ ด้วยการนำวัสดุ คือ ถังดับเพลิง-ถังน้ำยาแอร์ มาดัดแปลงผสมกับปุ๋ยยูเรียเพื่อเพิ่มอานุภาพของระเบิด
เมื่อ “นักรบชายชุดดำ” จบทั้ง 2 หลักสูตร ก็ได้เดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทย ครั้งละประมาณ 5-7 คน จนครบทั้ง 64 คน โดยทั้งหมดเข้ามาร่วมก่อเหตุใหญ่ใน 3 เหตุการณ์ คือ
1.เหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่บริเวณสี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน
2.เหตุการณ์เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2553 ที่บริเวณสี่แยกอนุสรณ์สถานแห่งชาติ
และ 3.เหตุการณ์ “เผาบ้าน-เผาเมือง” เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์
แต่เมื่อเหตุการณ์สงบลงบุคคลที่สนับสนุน “ท่อน้ำเลี้ยง” ก็จัดส่งกำลังที่เรียกว่า “นักรบชายชุดดำ” รุ่นที่ 2 อีกจำนวน 64 คนเดินทางเข้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อฝึกหลักสูตรดังกล่าวอีก โดยขณะนี้ “นักรบชายชุดดำ” รุ่นที่ 2 ยังคงฝึกหลักสูตรดังกล่าวอยู่
การข่าวระบุว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการฝึกหลักสูตรเฉพาะทางในการประกอบวัตถุระเบิด โดยอาจจะเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยในอีกไม่ช้านี้
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้กล่าวยอมรับสอดคล้องกับเรื่องดังกล่าวว่า ศักยภาพของนักรบชายชุดดำทั้ง 64 คนนั้น ถ้าจะพูดถึงประสิทธิภาพ หากบอกว่า ไม่เก่งคงไม่ได้ เพราะจะไปดูถูกเขา
“การดำเนินการอะไรต้องมีการฝึกกันมา ถ้ามีกลุ่มนี้จริงน่าจะมีการฝึกมาเป็นระยะเวลาพอสมควร อยากเรียนว่า การใช้อาวุธหรือการฝึกต่างๆ ไม่ใช่ฝึกง่ายๆ หรือใช้เวลาแค่ 5 วัน หรือ 10 วัน แต่ต้องมีหลายอย่างประกอบกันทั้งประสบการณ์ สภาพจิตใจ ความกดดัน มิเช่นนั้นใครก็คงเป็นทหารได้ จะเห็นได้ว่า เวลาฝึกทหารมีการฝึกให้ทหารมีความอดทนอดกลั้นใช้เวลาเป็นทหาร 2 ปี จึงจะสามารถออกไปรบได้ ไม่ใช่ฝึกเพียงแค่ 5 วัน หรือ 10 วัน อย่างไรก็ตามคงต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง”
แต่สิ่งที่หน่วยงานด้านความมั่นคง “จับตา” เฝ้าระวังเหตุร้ายในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ จ.นนทบุรี จ.ปทุมธานี จ.สมุทรปราการ และ กทม. เพราะนี่คือเป้าหมายสำคัญที่ “กลุ่มใต้ดิน” หรือ “นักรบชายชุดดำ” ต้องการปฏิบัติการสร้างความรุนแรง ในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2553
ต้องระวังเพราะช่วง 3 เดือนอันตรายนี้ คนไม่หวังดีต่อบ้านเมืองวางแผนที่จะเผาเมืองกันอีกครั้ง
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 1967 ครั้ง