เวลา 14.30 น. วันที่ 16 ตุลาคม ที่กรมการปกครอง นายมงคล สุรัจสัจจะ อธิบดีกรมการปกครอง และนายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกกระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมกันแถลง โดยนายมงคลอ่านคำแถลงที่ได้เตรียมมาในกระดาษ A 4 จำนวน 2 แผ่นว่า นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบหมายให้เจรจายกเลิกสัญญากับบริษัทคู่สัญญาให้เช่าระบบคอมพิวเตอร์จัดทำบัตรประจำตัวประชาชน เนื่องจากการจัดทำสัญญาครั้งนี้ถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีผู้ได้รับผลประโยชน์ ซึ่งไม่เป็นความจริง และยืนยันว่าการทำสัญญาเป็นไปตามกฎหมาย ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุทุกประการ โดยนายชวรัตน์ต้องการแสดงให้เห็นถึงความบริสุทธ์ใจและความสุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ จึงสั่งการให้ตนไปเจรจากับบริษัทเพื่อขอยกเลิกสัญญา ซึ่งได้แจ้งให้บริษัทได้รับทราบแล้ว และเชิญบริษัทคู่สัญญามาปรึกษาในวันที่ 18 ตุลาคม เวลา 14.00 น. ซึ่งจะดูท่าทีบริษัทจะยอมหรือไม่ ซึ่งการเจรจาขอยกเลิกสัญญาเพื่อให้มีการประมูลใหม่ น่าจะพิสูจน์ได้ว่ากระบวนการประกวดราคาครั้งนี้ไม่มีใครได้รับผลประโยชน์มิชอบ ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้าเจรจายกเลิกสัญญา เพราะต้องถูกบริษัทฟ้องร้องแน่ ซึ่งจะรายงานให้นายชวรัตน์ทราบต่อไปว่าบริษัทยินยอมหรือไม่ ถ้าไม่ยอมก็ขึ้นอยู่กับระดับนโยบายจะตัดสินใจ
นายมงคลกล่าวว่า กระบวนการประกวดราคาจนทำสัญญาเช่าระบบคอมพิวเตอร์ได้ดำเนินการตามขั้นตอน การประกวดราคาเสร็จสิ้น แล้วเสนอความเห็นชอบไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจนก่อนที่ตนจะมาดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการปกครองในวันที่ 28 เมษายน 2553 เมื่อได้รับความเห็นชอบจากนายชวรัตน์แล้ว ตนก็ส่งเรื่องให้กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ ให้ความเห็นชอบตามกระบวนการและส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจร่างสัญญา เมื่อได้รับความเห็นชอบแล้วก็ยังรอผลการคณะกรรมการสอบสวนที่กรมการปกครองตั้งขึ้นได้ ซึ่งได้รับรายงานผลว่า การดำเนินการประกวดราคาครั้งนี้เป็นไปได้โดยชอบ จึงลงนามวันที่ 9 กันยายน 2553
“เรื่องนี้ผมไม่ได้ทำให้ราชการเสียหาย แต่ได้รักษาผลประโยชน์เนื่องจากสัญญาเช่าเดิมหมดอายุวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2553 ซึ่งบริษัท ซีดีจี ได้เรียกเงินค่าบำรุงรักษาดูแลระบบเดือนละ 11 ล้านบาทเศษ คิดเป็นเงิน 150 ล้านบาท หากไม่เซ็นสัญญาจะเสียหายเพิ่มขึ้นอีก และเมื่อกระทรวงมหาดไทยได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงก็ได้สั่งได้ชะลอการไว้จนกว่าคณะกรรมการจะสอบสวนเสร็จ ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2553 เป็นต้นไป อีกทั้งถ้าไม่ลงนามในสัญญาหากถูกบริษัทฟ้องร้องเสียหาย ถูกดำเนินคดีทั้งแพ่งและอาญา ซึ่งทำให้เสียหายต่อตัวเองและราชการ”นายมงคลกล่าว
นายมงคลกล่าวว่า ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ส่งผลสอบให้ป.ป.ช.นั้นนายชวรัตน์ทราบเรื่องแล้วเมื่อคืนวันที่ 15 ตุลาคม ซึ่งนายชวรัตน์ไม่กังวล และมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตน และตนไม่ได้ทะเยอทะยาน จุดสูงสุดของชีวิตแค่ได้เป็นปลัดอำเภอ นายอำเภอ ก็มากพอแล้ว และไม่ได้ยึดติดตำแหน่ง แม้มีมติครม.แต่งตั้งตนเป็นปลัดกระทรวงไปแล้ว แต่ชะลออยู่ เพราะเกิดปัญหาประมูลเช่าระบบคอมพิวเตอร์
“ซึ่งผมก็ได้แจ้งแก่รัฐมนตรีว่าการ ซึ่งท่านรับทราบ และได้เสนอไปว่าไม่ขอรับตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย เพราะในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา เมื่อเห็นว่า ตัวเองไม่เหมาะก็ไม่ขอรับตำแหน่ง ยืนยันว่า ไม่ใครกดดัน แต่ผู้บังคับบัญชาให้กำลังใจตลอด”
โฆษกข้องใจดีเอสไอฟังข้างเดียวนายศุภชัยกล่าวว่า นายชวรัตน์มั่นใจในความบริสุทธิ์และความสุจริตของตัวเอง และไม่ได้วิตกกังวล แต่น่าสังเกตว่าดีเอสไอไม่ได้เรียกนายชวรัตน์ไปชี้แจงหรือสอบปากคำก่อนสรุปสำนวนสอบสวนส่งป.ป.ช. ซึ่งเป็นความไม่ปกติ ไม่ถูกตามหลักของการสอบสวน ที่จะต้องให้โอกาสทั้งผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหา และเห็นว่ามีการสอบปากคำผู้ร้องหรือผู้ถูกกล่าวหาคือนายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ อดีตอธิบดีปกครอง และพยานที่นายวงศ์ศักดิ์กล่าวอ้างเพียงฝ่ายเดียว ทำให้สำนวนสอบสวนของดีเอสไอมีลักษณะฟังความข้างเดียวซึ่งไม่เป็นธรรมแก่นายชวรัตน์
ซัดอคติ-งงโยง”ชวรัตน์”เกี่ยวด้วย
“จากการข่าวที่ได้ทราบมาว่าคำร้องของนายวงศ์ศักดิ์ไม่ได้เกี่ยวพันถึงนายชวรัตน์ แต่พนักงานสอบสวนดีเอสไอสรุปสำนวน โดยรวบนายชวรัตน์เข้าไปด้วย ซึ่งเป็นดุลพินิจของพนักงานสอบสวน แต่น่าสงสัยว่ามีเหตุผลและพยานหลักฐานใดถึงสรุปเช่นนั้น ขณะนี้นายวงศ์ศักดิ์อยู่ระหว่างกระทรวงมหาดไทยตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง อันเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ถูกย้ายจากอธิบดีกรมการปกครองเป็นผู้ตรวจกระทรวงมหาดไทย โดยนายวงศ์ศักดิ์เชื่อว่าถูกฝ่ายการเมืองกลั่นแกล้ง จึงมีความคิดที่เป็นปฏิปักษ์ต่อฝ่ายการเมือง การที่ดีเอสไอฟังปากคำจากนายวงศ์ศักดิ์เพียงฝ่ายเดียวจึงเป็นข้อมูลที่อคติ และมุ่งร้ายต่อผู้ถูกต้อง ไม่ใช่ให้ข้อมูลด้วยความสุจริต” นายศุภชัยกล่าว
ยัน”ชวรัตน์”ไม่ไขก๊อกแน่
นายศุภชัยกล่าวว่า หากมาตรฐานการสอบสวนของดีเอสไอเป็นเช่นนี้จะเป็นที่น่าเชื่อถือและยอมรับของประชาชนได้อย่างไร แม้แต่บุคคลสำคัญระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยังได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมแล้วประชาชนจะได้รับการปฏิบัติเช่นใด เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณา โดยเฉพาะผู้รับผิดชอบในดีเอสไอที่ถูกตั้งข้อสังเกตจากประชาชนและสื่อมวลชนว่ากำลังทำให้การทำงานของดีเอสไอผิดไปจากเจตนารมณ์ของการก่อตั้งและตกเป็นเครื่องมือรับใช้ผู้มีอำนาจและทำลายผู้เป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองมากกว่าจะทำงานตามเจตนารมณ์ที่แท้จริงของดีเอสไอ ขณะนี้กระบวนการสอบสวนเข้าสู่ป.ป.ช.คงต้องขอความเป็นธรรม เชื่อว่าป.ป.ช.จะพิจารณาให้ความเป็นธรรมและเปิดโอกาสให้ผู้ถูกต้องชี้แจงหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ยืนยันว่า นายชวรัตน์และผู้ถูกร้องทุกคนจะยังคงปฏิบัติหน้าที่ เพราะเพิ่งเริ่มเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ รวมทั้งยังมีรัฐมนตรีหลายคน และนายกรัฐมนตรีก็ตกเป็นผู้ถูกกล่าวและยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ จึงควรใช้บรรทัดฐานเดียวกัน ยืนยันว่านายชวรัตน์ยังปฏิบัติตาม 9 กฎเหล็กทุกประการ
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 794 ครั้ง