วันที่ 31 ต.ค. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ”เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์” ถึงการพิจารณาบันทึกผลการประชุม MOU คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย – กัมพูชา JBC ประเด็นเขาพระวิหาร ว่า ที่เราต้องมี MOU เพราะเราไม่ต้องการให้มีประเทศที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้อง รวมทั้งนายบัน คี มุน เลขาธิการสหประชาชาติ(ยูเอ็น) ให้ประเทศไทยไปคุยกับกัมพูชาเอง
“ผมคนเดียวไปตกลงไม่ได้ ต้องนำผลการหารือกลับมาให้สภาพิจารณาอีกครั้ง ด้านกัมพูชาเองก็กึ่งทำใจแล้วว่าเรื่องนี้ต้องอีกยาว เราต้องนำเข้าสภาอีกครั้ง ก่อนกลับไปคุยกัมพูชาอีกครั้ง” นายกฯ กล่าว
เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่าได้คุยกับสมเด็จฯ ฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ถึงการส่งตัวนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ที่มีข่าวว่าหลบหนีในกัมพูชาหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ถ้าเรามั่นใจว่าอยู่ถึงที่นั่น ก็ต้องบอกเขาได้ว่าอยู่ที่ไหน เขาบอกว่าถ้ามีคนของเขาเข้าไปเกี่ยวข้องก็ต้องดำเนินการ ทั้งนี้ ยอมรับว่าระหว่างประเทศไทยและกัมพูชานั้น บางเรื่องมีผลประโยชน์ขัดกัน แต่การทำงานร่วมกันของเพื่อนบ้านก็ต้องทำงานตามข้อตกลง ไม่มีประโยชน์ถ้าจะขัดกัน
เมื่อถามว่า มีคนของเรากี่คนที่หลบหนีเข้าไปในกัมพูชา นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า “ได้ตกลงกันว่าอย่าพูดผ่าสื่อ มีอะไร พูดกันสองคน”
ส่วนกรณีที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ยื่นฟ้อง นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และคณะรัฐมนตรี ต่อศาลปกครองกลาง กรณีเสนอบันทึกผลการประชุม MOU คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย – กัมพูชา JBC ครั้งที่ 3 เข้าที่ประชุมรัฐสภานั้น นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ และผู้ประสานงานกลุ่ม พธม. กล่าวว่า จะรอดูคำสั่งศาลปกครองว่าจะรับคำร้องหรือไม่ หากรับแล้ว จะเปิดการไต่สวนฉุกเฉินเพื่อคุ้มครองตามที่ได้เรียกร้องหรือไม่ ซึ่งภายในวันนี้น่าจะชัดเจน ทั้งนี้ไม่ว่าศาลปกครองจะมีคำสั่งอย่างไร พธม.จะชุมนุมกันในวันที่ 2 พฤศจิกายนแน่นอน หากรัฐสภายังประชุมเพื่อขออนุมัติกรอบข้อตกลงเจบีซี ซึ่งมีข้อสงสัยหลายอย่าง
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 1087 ครั้ง