ภาพนายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย นำรองเท้ามาโชว์ หลังขู่ขว้างส.ส.พรรคเดียวกัน
อภิวันท์ รับส.ส.เพื่อไทย ทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมในสภา เชื่อที่ทำเพราะมีเหตุผล แนะดูที่สาเหตุ เชื่อไม่รุนแรงเหมือนสภาไต้หวัน นายกฯย้ำปีหน้าเลือกตั้งแก้รธน.ผ่านเป็นการใช้ระบบสภา
นายปิยะรัช หมื่นเเสน ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย 1ใน7ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่เสนอรายชื่อตัวเเทนส.ส.พรรคเพื่อไทยเป็นตัวเเทนกมธ.วิสามัญเเก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา93-98 เเต่พรรคได้ประท้วงว่าพรรคไม่มีมติส่งตัวเเทนไปร่วมเเก้ไขรัฐธรรมนูญ กล่าวในรายการเจาะลึกประเด็นร้อน เอฟเอ็ม100.5 เมกกะเฮริทซ์ว่า สิ่งที่ตนทำไปนั้น เพื่อให้การเมืองเดินได้เพราะหลังจากที่กฎหมายผ่านการลงมติ ต้องมีการตั้งกมธ.ขึ้นมา เเละทุกพรรคต้องมีสัดส่วนส.ส.ไปเป็นกมธ.เเละเมื่อพรรคเพื่อไทยไม่เเต่งตั้ง ตนก็ใช้สิทธิส.ส.เเต่งตั้งกมธ.ในส่วนของพรรคเพื่อร่วมพิจารณาในชั้นกมธ.เพื่อให้กฎหมายสมบูรณ์
ผู้สื่อข่าวถามว่าพรรคยืนยันมีมติไม่ส่งตัวเเทนไปร่วมเเละเรื่องนี้จะทำตามที่นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภาเเนะนำให้ลาออกจากกมธ.ก่อนหรือไม่ นายปิยะรัชกล่าวว่า เรื่องนี้ผ่านไปเเล้ว เพราะนายชัยสั่งเเก้ไขโดยใช้ข้อยกเว้นข้อบังคับการประชุมสภา ยกเลิกการตั้งกมธ.24 คนโดยใช้วิธีให้สภาตัดสินใจเเต่งตั้งกมธ. 45 คนขึ้นมาใหม่
ส่วนที่เจ็ดส.ส.จะกลับไปเป็นกมธ.เเก้ไขรัฐธรรมนูญอีกหรือไม่ นายปิยะรัชกล่าวว่า ไม่ได้เป็น เพราะให้สภาคัดเลือกบุคคลใหม่เลย สมัยหน้าย้ายพรรคหรือไม่ เป็นเรื่องอนาคตที่ไม่เเน่นอน บางครั้งอาจย้ายพรรค บางครั้งผู้ใหญ่อาจให้อยู่พรรคต่อ ตนยังทำกิจกรรมกับพรรคได้ ส่วนที่ส.ส.ในพรรคได้ด่านายปิยะรัชว่าเป็นควายในการประชุม นายปิยะรัชกล่าวว่านายวิเชียร ขาวขำ ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทยอาจโกรธตน การใช้คำพูดเเบบนั้นไม่เป็นไร การเมืองมันก็เเบบนี้ ต้องเเสดงบทบาทกันในสภา เเต่ออกมาก็รักกันเพราะนายวิเชียร กับตนก็รู้จักกันดีไม่มีอะไร ส่วนข้อหาส.ส.งูเห่านั้นตนไม่โกรธเช่นกัน
อภิวันท์ชี้ทำไม่เหมาะแต่ให้ท้ายมีเหตุผล
พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร์ คนที่ 2 กล่าวว่า สิ่งที่สมาชิกพรรคเพื่อไทย ทำในที่ประชุมรัฐสภา เช่น ตะโกนคำหยาบ และการถอดรองเท้านั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทั้งนี้ ต้องดูสาเหตุที่เกิดขึ้นว่าเป็นเพราะอะไรด้วย ซึ่งช่วงที่เกิดขึ้นอยู่ระหว่างที่มีการประท้วงตามสิทธิ์ เพราะมีคนของพรรคเสนอชื่อบุคคลในพรรคร่วมเป็นกรรมาธิการร่วมเพื่อพิจารณแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ไม่มีความถูกต้อง สำหรับตนมองว่าถึงแม้เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม แต่มีเหตุผล และไม่รุนแรงเหมือนเหตุการณ์ในสภาของประเทศไต้หวัน
ชัยไม่หวั่นยื่นตีความศาลรธน.
นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ว่าตนไม่หวั่นที่ทางสมาชิพรรคเพื่อไทยเตรียมยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาการทำหน้าที่ของตนในการประชุมร่วม 2 รัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะตนมั่นใจว่าทำหน้าที่อย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตามตนมีหลักฐานที่มีการลงลายมือชื่อรับรองผลการลงคะแนนของสมาชิกรัฐสภาในร่างแก้ไข มาตรา 93-98 ที่พบว่านายคมเดช ไชยศิวามงคล ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทย ได้ลงลายมือชื่อรับรองด้วย ทั้งนี้ตนมองว่าหากพบความไม่โปร่งใสในทีแรกทำไมไม่ท้วงติงก่อนที่จะลงลายมือชื่อรับรอง
“ผมได้เก็บหลักฐาน เอกสารไว้ทุกฉบับ เพื่อนำไปยืนยันต่อศาลรัฐธรรมนูญ หากพรรคเพื่อไทยเสนอให้พิจารณาการทำหน้าที่ของผม” นายชัย กล่าว พร้อมกับแสดงเอกสารรับรองผลการลงมติส.ส. ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องเขตเลือกตั้งที่มีการลงลายมือชื่อกรรมการที่ร่วมตรวจสอบมติต่อสื่อมวลชน
นายชัย กล่าวด้วยว่า เหตุการณ์ในการประชุมรัฐสภาที่มีความวุ่นวายนั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติ และกรณีที่ส.ส. พรรคเพื่อไทยวอคเอาท์ นั้นตนถือว่าเป็นกงกำกงเกวียน เหมือนในสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน อย่างไรก็ตามขอเรียกร้องให้ประชาชนพิจารณาการทำหน้าที่ส.ส.ในพื้นที่ต่างๆ ให้ดี ว่าได้ทำประโยชน์อะไรหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาเห็นชัดว่าทำหน้าที่เพื่อเข้ามาหาเสียงเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้าการร่างประมวลจริยธรรมของสภา นายชัย กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าเพราะยังขาดผู้นำฝ่ายค้านที่ไม่ยอมเสนอชื่อมาตั้งแต่แรก
นายชัย กล่าวทิ้งท้ายกับสื่อมวลชน ด้วยว่า “วันนี้ถือว่าเป็นวันสุดท้ายที่จะมีการประชุมสภาฯ เพราะวันที่ 28 พ.ย. ก็ปิดสมัยประชุมแล้ว ซึ่งช่วงที่ปิดประชุม พนักงานคงเชิญตัวผู้ที่ขัดจริยธรรมไปตรวจสอบ
อภิสิทธิ์ ยันเลือกตั้งปี 54
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในเรื่องของการเมืองต้องยอมรับว่ามีความขัดแย้งในสังคมยังสูงมาก สิ่งที่ตนและรัฐบาลทำคือทำอย่างไรให้สังคมกลับมาใช้กระบวนหลักสองกระบวนการในการคลี่คลายปัญหา คือกระบวนการทางรัฐสภาและกระบวนการยุติธรรม ซึ่งต้องแยกให้ออกว่าต้องใช้กระบวนการไหน เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เหมือนว่าจะได้ข้อยุติในระดับหนึ่งเพราะมี 2 ร่างที่ผ่านและจะมีการพิจารณวาระ 2-3 ในสมัยประชุมหน้า แต่ความสำคัญสำหรับตนไม่ใช่ว่าร่างของรัฐบาลผ่านหรือไม่ แต่ว่าใน 3-4 วันที่รัฐบาลทำมา นั่นคือการนำทุกอย่างกลับเข้าสู่กระบวนการปกติไม่ทิ้งให้อึมครึม และไม่ทิ้งให้รัฐธรรมนูญที่คปพร.เสนอมาและมีคนต่อต้านไม่มีการพิจารณา ก็เอาให้จบ ซึ่งสิ่งที่มีการศึกษาว่าจะแก้ประเด็นนั้นประเด็นนี้โดยไม่มีปมที่มีความเสียหาย ก็ยืนยันว่ารัฐสภาต้องหาข้อยุติ และอีกหลายเรื่องก็ต้องเป็นแบบนี้
การที่รัฐบาลตั้งคณะกรรมการอิสระชุดต่างๆ เพราะต้องการสร้างบรรทัดฐาน ซึ่งในอดีตมี 2 อย่างคือไม่มีการตั้งอะไรเลย หรือตั้งพวกเดียวกันเสนอในสิ่งที่อยากจะได้ และรัฐบาลเองก็ไม่ได้ทำจริงจังตามที่เขาเสนอแนะ ตนไม่ทำทั้งสองอย่าง ซึ่งตนให้มีคณะกรรมการ เขาเสนอมาตนต้องมีเหตุผลในการปฏิเสธ ไม่ใช่ยอมรับหมด เช่นกรณีของกรรมการสี่ฝ่ายที่เอาเรื่องชลประทาน แต่ตนมีเหตุผลและข้อเท็จจริงชัดเจนไม่เช่นนั้นการแก้ปัญหาเรื่องน้ำจะยาวนานมาก ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็มีการเสนอมา 5 ประเด็น ซึ่งรัฐบาลปฏิเสธ 3 เอาเพียง 2 ประเด็น นั่นตนก็ต้องให้เหตุผลกับคณะกรรมการในการนำเข้าสภา ส่วนชุดของนายคณิต ณ นคร เสนอให้ประกันตัวผู้ถูกคุมขังที่เกิดจากการชุมนุม ตนก็ทำจริงจังโดยให้กรมคุ้มคองสิทธิและเสรีภาพตรวจสอบว่าคนไหนทำได้คนไหนไม่ได้
นายกฯ กล่าวถึงความท้าทายในปี 54 ว่า ปีหน้ามีสิ่งที่ท้าทายคือจะมีการเลือกตั้ง เพราะตนบอกแล้วว่าไม่อยู่ครบเทอม แต่ตนต้องการเห็นการเลือกตั้งที่สงบ ทุกคนยอมรับกติกาและบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติทางการเมืองต่อไป ซึ่งตนพยายามสื่อสารหลายครั้งว่ากลุ่มที่จะให้ยุบสภาคือต้องทำให้สงบ แล้วเราก็จะได้เลือกตั้งก็เป็นอีกก้าวในการคลี่คลายปัญหาตรงนี้ ถ้าการเลือกตั้งสำเร็จได้ก็จะเป็นจุดที่เรายืนยันว่าเราต้องรักษาระบบสภา ไม่ใช่ว่ามีปัญหาแบบนี้เพราะสภาใช้ไม่ได้แล้วถึงเอาระบบอื่นเข้ามา
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 1452 ครั้ง