องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ใช้เวลา 7 ชั่วโมงอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 7.6 หมื่นล้านบาท ตลอดบ่ายวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 สรุปได้ ดังนี้
1.วินิจฉัย ศาลมีอำนาจพิจารณาคดี
วินิจฉัยในประเด็นแรก คือ ศาลมีอำนาจในการพิจารณาคดีนี้ ตามที่ผู้คัดค้านคัดค้านหรือไม่ โดยวินิจฉัยว่า การตรวจสอบของ คตส.เป็นไปตามกฎหมาย และเป็นไปตามอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ ตามมาตรา 9 (1) และ (4) แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นมติเอกฉันท์
มติเอกฉันท์
2.วินิจฉัย คตส.มีอำนาจตรวจสอบโดยชอบ
ประเด็นวินิจฉัยต่อมา คตส.มีอำนาจถูกต้องตามกฏหมายหรือไม่ ศาลวินิจฉัยว่า เป็นการดำเนินการภายใต้ขอบอำนาจตามประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 ส่วนที่ คตส.แต่งตั้งอนุ คตส.นั้น เห็นว่า คตส.ใช้อำนาจตามประกาศ คปค. สามารถแต่งตั้งได้ และไม่ล่วงเลยระยะเวลาตามที่ผู้คัดค้าน ทำการคัดค้าน เพราะมีกรอบเวลาชัดเจน หากไม่เสร็จสิ้นต้องให้ ป.ป.ช.ดำเนินการต่อ ทั้งหมดเป็นการดำเนินการโดยชอบด้วยกฏหมาย รวมทั้งประเด็นที่คตส.บางคน เช่นนายกล้านรงค์ จันทิก นายบรรเจิด สิงคะเนติ และนายแก้วสรร อติโพธิ เป็นปฏิปักษ์ของผู้ถูกร้อง แต่งตั้งเป็นประธานอนุฯ คตส.นั้น ชอบแล้วด้วยกฎหมาย และ ป.ป.ช.จึงมีอำนาจดำเนินการแทน คตส.ได้ก็ชอบแล้วด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ คดีนี้ไม่เกี่ยวกับคดีอาญา แต่เป็นคดีแพ่ง จึงไม่จำเป็นต้องให้ผู้ถูกกล่าวหามา ศาลมีมติเอกฉันท์ ผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องคดีนี้
มติเอกฉันท์
3.วินิจฉัย คำร้องของอัยการไม่เคลือบคลุม
วินิจฉัย คำร้องที่ให้ยึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จำนวน 76,621,603,061.05 บาท ของอัยการสูงสุดในฐานะผู้ร้อง แจ้งชัดและไม่เคลือบคลุม
มติเอกฉันท์
ประเด็นข้อเท็จจริง
1. ปกปิดอำพรางหุ้น โดยผ่านนอมินี
ประเด็นวินิจฉัยผู้ถูกกล่าวหาปกปิดอำพรางหุ้นหรือไม่ วินิจฉัยว่า ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 วาระ ยังถือหุ้นไว้ แต่ปี 2549 รวบรวมหุ้นทั้งหมดขายให้เทมาเส็ก โดยมีการโอนหุ้นให้กับผู้คัดค้านหลายคนจริง ผู้ถูกกล่าวหาแม้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2544 แล้ว ผู้ถูกกล่าวหามีอำนาจดำเนินนโยบายและแต่งตั้งกรรมการในบริษัทชินคอร์ปจริง การควบคุมนโยบายของผู้ถูกกล่าวหาผ่านทางคณะกรรมการบริษัทชินคอร์ปจริง มีมติเป็นเอกฉันท์ ผู้ถูกกล่าวหา และผู้คัดค้านที่ 1 มีหุ้นในเทมาเส็กจริง
การขายหุ้นให้พี่น้องมีพิรุธ ไม่มีใครจ่ายเป็นเงิน ทั้งที่จริงๆ มีเงินจ่ายได้ แต่กลับจ่ายเป็นตั๋วสัญญา อีกทั้งยังเป็นผู้รับเงินปันผลตามบัญชีบ.แอมเพิลริช ที่มีเงินปันผลเข้าบัญชีระหว่างปี2546-2548 จำนวน 1,000 ล้านบาท ศาลจึงมีมติเอกฉันท์ว่าผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 ถือหุ้นใหญ่กว่า 1,400 ล้านหุ้นของบ.ชินคอร์ป ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งทั้งสองสมัย
มติเอกฉันท์
2.การแปลงสัญญาสัมปทานฯ เอื้อประโยชน์ชินคอร์ป
วินิจฉัยว่า เป็นการเอื้อประโยชน์ชินคอร์ป และเป็นเหตุให้ชาติเสียหาย เพราะภาษีสรรพสามิตหายไป 6 หมื่นล้านเศษ มีมติด้วยเสียงข้างมาก ผู้ถูกกล่าวหา ใช้ตำแหน่งหน้าที่ ตราพ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับ ทำให้ชาติเสียหาย
มติเสียงข้างมาก
3.กรณีแก้ไขสัญญาโทรศัพท์มือถือ กรณีบัตรเติมเงิน และ โรมมิ่ง
การแก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ ด้วยการปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบบัตรเติมเงิน (PREPAID CARD) ส่งผลให้เอไอเอส จ่ายส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า ให้แก่ บริษัท ทศท ในอัตรา 20 เปอร์เซ็นต์ คงที่ตลอดอายุสัญญาสัมปทานตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2544 จากเดิมที่ต้องจ่ายตามสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นแบบก้าวหน้าในอัตรา 25 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2543-30 กันยายน 2548 และในอัตรา 30 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2548-30 กันยายน 2548 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน
การแก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือข่ายร่วม (ROAMING) และให้หักค่าใช้จ่ายจากรายรับ และกรณีการปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วม เป็นการเอื้อประโยชน์แก่ ชินคอร์ปฯ และเอไอเอส การแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาที่ให้บริษัท เอไอเอส เข้าไปใช้เครือข่ายร่วมผู้ให้บริการรายอื่นมีผลต่อการจ่ายเงินผลประโยชน์ที่บริษัท เอไอเอส ต้องจ่ายให้กับ บริษัท ทศท. และบริษัท กสท.ไม่น้อยกว่า 18,970,579,711 บาท กลายเป็น เอไอเอส จะได้รับผลประโยชน์ที่ไม่ต้องจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว ซึ่งบริษัท ชินคอร์ป ที่ผู้ถูกกล่าวหาถือหุ้นเป็นผู้ถือหุ้นใน ดังนั้นผลประโยชน์ที่ เอไอเอส ได้รับดังกล่าวจึงตกกับหุ้นบริษัท ชินคอร์ปฯที่ผู้ถูกกล่าวหาถือในระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นเหตุให้หุ้นมีมูลค่าสูงขึ้น จนกระทั้งได้มีการขายหุ้นให้กับกลุ่มเทมาเส็ก ของประเทศสิงคโปร์
วินิจฉัยว่า ภาระเอไอเอสลดน้อยลง แต่มีรายได้เพิ่มขึ้น ตั้งแต่ปี 44-49 โดยลำดับ ตั้งแต่ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี องค์คณะผู้พิพากษาจึงมีมติด้วยเสียงข้างมาก ว่าผู้ถูกกล่าวหามีส่วนเกี่ยวข้องในการแก้ไขสัญญาดังกล่าว และผู้ถูกกล่าวหามีหุ้นในชินคอร์ป ผลประโยชน์จึงตกแก่ผู้ถูกกล่าวหา เงินที่ขายหุ้นให้เทมาเส็ก จึงได้มาโดยไม่สมควร
มติเสียงข้างมาก
4.กรณีการใช้โครงข่ายร่วม (โรมมิ่ง)
วินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีส่วนในการแก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่ออนุญาตให้ใช้โครงข่ายร่วม (โรมมิ่ง) และปรับลดอัตราการใช้เครือข่ายร่วมระหว่างกสท.กับ DPC เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับชินคอร์ปฯ และเอไอเอส แต่เนื่องจากมีการขายหุ้นให้เทมาเส็กไปเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 ทำให้ผู้ได้รับประโยชน์จากการลดอัตราการใช้เครือข่ายร่วมไม่ใช่ผู้ถูกกล่าวหา แต่เป็นเทมาเส็ก
5.กรณีแก้ไขสัญญาสัมปทานดาวเทียมโดยมิชอบ
กรณีการละเว้น อนุมัติ ส่งเสริม สนับสนุนธุรกิจดาวเทียมตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศโดยมิชอบหลายกรณี ได้แก่ การอนุมัติโครงการดาวเทียมไอพี สตาร์, การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน ครั้งที่ 5 วันที่ 27 ตุลาคม 2547 รวมถึงการลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปฯ ในบริษัท ชินแซทเทิลไลท์ ที่เป็นผู้ขออนุมัติสร้างและส่งดาวเทียมไทยคม และการอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทนของดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ไปเช่าช่อสัญญาณต่างประเทศ ล้วนเป็นการเอื้อประโยชน์กับบริษัท ชินคอร์ปฯ และชินแซท
วินิจฉัยว่า เป็นการกระทำที่ลัดขั้นตอน รีบเร่ง ผิดปกติวิสัย ทั้งนี้ ดาวเทียม IP STAR ไม่ได้เป็นดาวเทียมหลัก แทนไทยคม 3 เป็นดาวเทียมใช้สื่อสารต่างประเทศ ผิดสัญญาตามที่ระบุว่า ใช้สื่อสารในประเทศ จึงอยู่นอกกรอบสัญญา เป็นการอนุมัติให้บริษัทผู้ถูกกล่าวหา ได้รับสัมปทานไปโดยไม่มีคู่แข่ง ทำให้รัฐเสียหายกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท องค์คณะจึงมีมติด้วยคะเสียงข้างมาก เป็นการเอื้อประโยชน์ให้ชินคอร์ และบริษัทไทยคม
มติเสียงข้างมาก
6.กรณีอนุมัติเงินกู้เอ็กซิมแบงค์ให้พม่า
การขอวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมให้กับประเทศพม่า เพิ่งเกิดขึ้นภายหลังจากประชุมร่วมกับพม่า-กัมพูชา และในการประชุมครั้งนั้นก็มีเจ้าหน้าที่ของไทยคมและไอเอเอส ไปสาธิตระบบให้บริการมือถือผ่านดาวเทียมในการประชุมด้วย จึงย่อมแสดงให้เห็นว่าการขอวงเงินเพิ่มเติมมีวัตถุประสงค์เพื่อซื้อสินค้าและบริการจากไทยคมนั่นเอง
ส่วนที่ผู้ถูกกล่าวหาอ้างว่าได้อนุมัติเงินไปซื้อสินค้าอื่นนั้น ก็ไม่อาจรับฟังหักล้างข้อที่ว่าไทยคมจะได้รับประโยชน์จากการดำเนินการในเรื่องนี้ได้ และที่อ้างว่าการอนุมัติวงเงินสินเชื่อนั้น ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของธนาคารนั้น เห็นว่าธนาคารเอ็กซิมแบงค์ ตั้งขึ้นตามพรบ.เอ็กซิมแบงค์ ปี2536 และอยู่ในการกำกับของรมว.คลัง จัดเป็นหน่วยงานของรัฐที่ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งในการอนุมัติวงเงินให้รัฐบาลพม่าในครั้งนี้ ก็ได้ความจากพยานซึ่งเป็นอดีตกก.เอ็กซิมแบงค์ ว่าเป็นการดำนเนิงานตามนโยบายของรัฐบาล และโดยการให้สินเชื่อดังกล่าวได้ผลตอบแทนเป็นดบ.ในอัตราที่ต่ำ จึงต้องขอให้ก.คลังจัดสรรเงินของคลังมาชดเชย กรณีนี้จึงส่งผลเสียต่องบประมาณของประเทศโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะเอ็กซิมแบงก์ก็ไม่ได้รับการชดเชยค่าใช้จ่ายในการดำเนินการนี้อีกด้วย
ส่วนที่อ้างว่าการดำเนินนการในครั้งนี้พิจารณาผลปย.ของประเทศ โดยทำให้ปตท.สผ.ได้รับสัมปทานบ่อแก๊สที่พม่านั้น เห็นว่าบ.ชินคอร์ปเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของไทยคม จึงได้ประโยชน์จากการถือหุ้น ย่อมเป็นการไม่สมควรที่จะอนุมัติวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมให้กับพม่า องค์คณะจึงมีมติเสียงข้างมากว่าการดำเนินการกรณีนี้เอื้อประโยชน์ให้แก่ไทยคมและชินคอร์ป
มติเสียงข้างมาก
7.การดำเนินการทั้ง 5 กรณีเป็นผลจากการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่
ใน 5 กรณีพบว่ามีการสั่งการอยู่ 2 กรณีคือการแปลงภาษีสรรพสามิตฯ โดยเป็นการสั่งการและมอบนโยบายให้ปฏิบัติเป็นลำดับชั้น ตั้งแต่รมว.คลัง รมว.ไอซีที ขรก.และกรรมการในชุดต่างๆ อีกกรณีคือการอนุมัติของเอ็กซิมแบงค์ในการให้วงเงินสินเชื่อแก่พม่า โดยผู้ถูกกล่าวหาได้สั่งการและมอบนโยบายผ่านรมว.ต่างประเทศ
ส่วนอีก 3 กรณีคือบัตรเติมเงิน การใช้โรมมิ่ง และละเว้นอนุมัติส่งเสริมธุรกิจดาวเทียมในประเทศ ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาล้วนเป็นผูกำกับดูแลในฐานะนายกฯ มีการไล่เป็นลำดับชั้นได้แก่ รมว.คลัง รมว.คมนาคม รมว.ไอซีที และหน่วยงานของรัฐต่างๆที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ถูกกล่าวหาเป็นนายกฯ และเป็นประธานบีโอไอ สำหรับคณะกรรมการประสานงานดาวเทียมสื่อสารของประเทศ ข้อ 39 กำหนดให้ปลัดคมนาคม และจนท. ซึ่งเป็นผู้แทนรวม 4 คน ร่วมเป็นคณะกรรมการดังกล่าว ส่วนกสท. และทศท. แม้จะแปลงเป็นบริษัทแล้วแต่ทั้งสองหน่วยงานแต่ก็ยังคงมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ อยู่ในกำกับของกระทรวงไอซีที
อีกทั้งผู้ที่ดำรงตำแหน่งรมว.กระทรวงต่างๆ ก็เป็นสมาชิกพรรคทรท. โดยที่มีผู้ถูกกล่าวหาเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ในขณะนั้น ประกอบกับทั้งสามกรณีเป็นการเริ่มต้นร้องขอมาจากชินคอร์ป และบริษัท่เกี่ยวข้อง ทั้ง 3กรณี ฟังจากคำเบิกความจากผู้จัดการผลปย.ทศท. ฯลฯ ได้ความว่าคณะกรรมการกลั่นกรองได้พิจารณาหลักกาตามที่เอไอเอสเสนอต่อทศท.ในวันที่ 21และ 28 สิงหาคม และเป็นวาระจรทั้งสองครั้ง ไม่ได้เสนอโดยฝ่ายบริหารผลปย.ดังที่ได้ปฏิบัติมา
ส่วนกรณีการใช้เครือข่ายร่วมนั้นก้ไม่เป็นไปตามขั้นตอนที่ปฏิบัติ และมีการตอบสนองเอไอเอสอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับกรณีดาวเทียมสื่อสารในประเทศ ก็มีวิธีการทำนองเดียวกัน คือให้รมว.คมนาคมอนุมัติไปก่อนที่คณะกรรมการจะรับรายงานการประชุม ปรากฏจากบันทึกของบวรศักดิ์ อุวรรโณว่า เป็นเรื่องที่ไม่สมควร เนื่องจากสัญญาสัมปทาน มีผู้ถูกกล่าาวหาเป็นนายกฯ จึงให้ถอนเรื่องออกไป ขณะที่ผอ.ส่วนวางแผนการเงินก็เบิกความประกอบว่า การดำเนินการเรื่องนี้ค่อนข้างรวดเร็ว และพยายามเสนอให้ทัน 12 เม.ย.2544 ที่มีการประชุมคณะกรรมการทศท. เป็นการเอื้อปย.แก่ผู้ถูกกล่าวหา ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าทั้ง 5 กรณีเป็นผลจากการปฏิบติหน้าที่ ใช้อำนาจรัฐเอื้อธุรกิจชินคอร์ป
มติเสียงข้างมาก
8. กรณีให้ทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินหรือไม่
เมื่อผลเป็นการเอื้อปย.โดยตรงต่อชินคอร์ป และมีผลต่อมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้น ทำให้นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เกิดความเชื่อมั่น ดังนั้นเงินปันผลค่าหุ้น และเงินขายหุ้นชินคอร์ปให้กับเทมาเส็กจึงเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สมควร ในฐานะดำรงตำแหน่งนายกฯ ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินได้ ตามประกาศคปค.ฉบับที่30 ประกอบพรบ.รธน.ว่าปปช. แต่โดยที่ผู้คัดค้าน 1 ร้องคัดค้านในประเด็นสินสมรส จึงเห็นควรวินิจฉัยเสียก่อนว่าศาลจะให้เงินในส่วนของผู้คัดค้านที่ 1 ตกเป็นของแผ่นดินได้หรือไม่
กรณีนี้เห็นว่าการจะให้ความคุ้มครองในทรัพย์สินนั้น ต้องได้ความว่าทรัพย์สินดังกล่าวได้มาโดยชอบและในทางที่สมควร คดีนี้ได้ความจากการไต่สวนว่าผู้ถูกกล่าหวาและผู้คัดค้านที่ 1 เป็นมผู้ร่วมก่อตั้งชินคอร์ป และหุ้นที่ทั้งสองคนถือหุ้นก็มีมาก และในสัดส่วนที่สูง และทั้งคู่มีปย.ร่วมกันตลอดมา และผู้คัดค้านที่ 1 ก็เป็นผู้จัดการทรัพย์สิน การที่ขายแอมเพิลริช และขายหุ้นชินคอร์ปให้กับแอมเพิลริช ก้ได้ความว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ได้จ่ายเงินให้กับผู้ถูกกล่าวหาไปก่อน นอกจากนั้นผู้คัดค้านที่ 1 ยังมีส่วนร่วมในการหลีกเลี่ยงในการโอนหุ้น เป็นการแสดงให้เห็นเจตนาในการแสวงหาประโยชน์ร่วมกันตลอดมา
เมื่อฟังว่าเงินปันผลค่าหุ้น เป็นการได้มาโดยมิชอบเสียแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านย่อมไม่อาจอ้างว่าเป็นสินสมรสได้ ศาลจึงมีอำนาจสั่งให้เงินในส่วนของผู้คัดค้านที่ 1 ตกเป็นของแผ่นดินได้ด้วย
ส่วนจะต้องตกเพียงใดนั้น เห็นว่าพรบ.ปปช.มาตรา 4 ให้ความเหมายของคำที่เกี่ยวข้องกับการร้องขอให้ทรัพย์สินเป็นของแผ่นดินไว้ 2 กรณี คือ 1.ทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ หรือหนี้สินลดลงผิดปกติ และ2.ร่ำรวยผิดปกติ คือมีทรัพย์สินมีทรัพย์สินเพิ่มมากผิดปกติ หรือมีหนี้สินมากผิดปกติ เมื่อพิจารณาจากความหมายของคำดังกล่าวเห็นว่ามูลคดีของการร้องขอให้ตกเป็นของแผ่นดินแยกเป็น 2 กรณีคือ
1.เมื่อเปรียบเทียบบ/ช ทรัพยฺ์สินหนี้สิน ทั้งก่อนและหลังดำรงตำแหน่ง พบว่ามีทรัพย์สินมากผิดปกติ กับการที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ผู้คัดค้านทำนองว่าก่อนที่ผู้ถูกกล่าวหาจะดำรงตำแหน่งวาระแรกมีทรัพย์สินที่ยื่นต่อปปช.มีมูลค่ารวม 15,124 ล้านบาท จึงไม่อาจให้ทรัพย์สินในส่วนนี้เป็นของแผ่นดินได้นั้น
เห็นว่าคดีนี้คตส.ไต่สวน และผู้ร้องกล่าวถึงกรณีผู้ถูกกล่าวมีส่วนได้เสียจากกชินคอร์ป ใช้อำนาจกระทำการต่างๆ เอื้อปย.ให้กับชินคอร์ป และทรัพย์สินที่ร้องขอก็มุ่งเฉพาะเงินปันผลและเงินที่มุ่งเฉพาะที่ขายได้จากการขายหุ้นเท่านั้น อีกทั้งคำร้องของผู้ร้องก็ไม่ได้บังคับไปถึงทรัพย์สินอื่น จึงไม่ต้องพิจารณาคำร้องคัดค้านของทั้งสอง อย่างไรก็ดี มีข้อต้องพิจารณาต่อไปอีกว่าเงินปันและเงินที่ได้จากการขายหุ้นเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สมควรทั้งจำนวนหรือไม่
ในข้อนี้หากพิจารณาว่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ และร่ำรวยผิดปกติแล้ว เห็นว่าไม่ว่ามูลคดีจะเป็นกรณีใดกรณีหนึ่ง ย่อมต้องเป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นมาอยู่แล้ว ส่วนเงินปันผลค่าหุ้นตามจำนวนที่ถืออยู่ในเอไอเอส และไทยคมบางส่วน ถือเป็นทรัพย์สินที่ได้มานอกจากที่มีอยู่แล้ว ต้องตกเป็นของแผ่นดินทั้งจำนวน ส่วนเงินที่ได้จากการขายหุ้นเป็นเงินที่มีมูลค่าเดิมอยู่ด้วย การจะให้ค่าขายหุ้นตกเป้นของแผ่นดินท้งจำนวนย่อมไม่เป็นธรรม
และเมื่อพิจารณาจากการที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เป็นสัมปทานจากรัฐ มาตรา 100 ประกอบพฤติการณ์ ที่ให้ผู้คัดค้าน 2-5 ถือหุ้นไว้แทน รวมทั้งใช้อำนาจหน้าที่กระทำการเอื้อประโยชน์ดังที่กล่าวมาแล้ว ย่อมไม่เป็นการสมควรที่ผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 จะได้รับปย.จากการฝ่าฝืนกฎหมาย จึงถือว่าปย.ค่าหุ้นชินคอร์ปในส่วนที่เพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ 7 กุมภา 44 เป็นต้นไป เป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สมควร
เมื่อพิจารณาแล้วปรากฏว่าการซื้อขายหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 7 ก.พ.44 คำนวณจากหุ้น 1,419,490,150 หุ้นที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เป็นเงิน 32,047 ล้านบาทมีอยู่แต่เดิม ไม่อาจให้ตกเป็นของแผ่นดินตามที่ร้องได้
องค์คณะมีมติเสียงข้างมากให้ทรัพย์สินที่ต้องตกเป็นของแผ่นดิน เฉพาะเงินปันผลและค่าขายหุ้น รวมจำนวน 46,373,680,754.74 สตางค์
ภายหลังทราบคำพิพากษาของศาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้สวมชุดสูทสีดำ วีดิโอลิงค์มาที่พรรคเพื่อไทยทันทีว่า 4 หมื่นกว่าล้านที่เพิ่มขึ้นของตนถูกยึดไปวันนี้โดยบอกว่าตนใช้อำนาจนายกฯทำให้ได้มานั้น คงเป็นที่ขบขันกันทั้งโลก สังเกตุดีๆการอ่านคำพิพากษาของศาลวันนี้ คล้ายกับวันที่พรรคไทยรักไทยถูกยุบ ตั้งแต่ก่อนมีปฏิวัติ ศาลถูกใช้เป็นเครื่องมือจัดการทางการเมือง และผู้พิพากษาบางส่วนก็เล่นการเมือง นึกว่าเป็นศาลมีชื่อเป็นศาล แต่การอ่านการกล่าวหา เป๊ะ เหตุการณ์วันนี้เป็นการเมือง 100% เมื่อวานบอกว่ารัฐบาลรู้ล่วงหน้า คนปักธงกับคนอุ้มเป็นคนเดียวกัน ทำใจแล้วว่าโดนแน่ แต่ว่าจะโดนยังไงเท่านั้น ตอนเป็นนายกฯแล้วเศรษฐกิจดีขึ้นไม่เห็นมาแบ่งบ้าง ไม่เข้าใจว่าหุ้นขึ้นเป็นเพราะผมเป็นนายกฯมาโกงให้ตลาดตัวเอง แล้วหุ้นในตลาด หุ้นแบงค์กรุงเทพ ซีพี ทรู ไม่ขึ้นหรือแต่ทีทรัพย์สินมีเพิ่มขึ้นกลับยึด แต่ก็ยังดี ส่วนที่มีก่อนยังได้คืน วันนี้ฟังแล้วต้องยอมรับว่าการเมืองสุดๆ
เหน็บ ไว้ทุกข์ให้กับความดื้อที่อยากเล่นการเมือง
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวต่อว่า วันนี้ที่แต่งชุดดำก็เพื่อไว้ทุกข์ให้กับความดื้อของตัวเอง ที่คุณหญิงและลูก คัดค้านไม่ให้เข้าการเมือง ชีวิตเลยวุ่นวานสับสน ทั้งๆที่คุณหญิงและลูกบอกว่าเราเป็นเศรษฐีอยู่แล้ว ใช้ชีวิตแบบเศรษฐีดีกว่า แต่ผมอยากทดแทนบุญคุณแผ่นดิน เห็นคนบ้านนอกลำบาก ก็คิดว่าอยากมาช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติบ้าง พ่อต้องขอโทษด้วยนะลูกที่ดื้อ ทำให้ครอบครัวต้องเดือดร้อนจนถึงทุกวันนี้ ตนเดือดร้อนคนเดียวไม่เป็นไร แต่การเมืองวันนี้ดุมาก ใจดำด้วย ขอให้ตนเป็นเหยื่อทางการเมืองคนสุดท้ายกฎหมายวันนี้ มันเหมือนเล่นติ๊ต่าง ถ้าเป็นพวกเดียวกันก็จะไม่เล่นงาน ถ้าไม่ใช่ก็จะเดินเร็วมาก ตีความให้เดือดร้อน กฎหมายไทยเหมือนเล่นติ๊ต่าง จริงๆ เป็นอะไรที่ขาดมาตรฐานสากลอย่างรุนแรง วันนี้ดุลทั้งหมดไปอยู่ที่อำมาตย์ กดสั่งการให้ระบบหนึ่งมีอำนาจเหนืออีกระบบหนึ่งได้ ขาดมาตรฐานสากลอย่างรุนแรง คนๆเดียวกระชากประเทศถอยหลังอย่างน่ากลัวมาก
ชี้ “บิ๊กบัง”แค่หุ่นเชิด
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ความจริงตนเป็นคนพูดรู้เรื่อง ไม่อยากให้เล่นการเมืองก็พร้อมถอย เคยกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าจะไม่รับตำแหน่ง การที่ได้รับเลือกตั้งเมื่อตอนเมษา2546 แต่ก็เป็นโมฆะ กว่าจะได้เลือกตั้งอีกครั้งก็นานมากจนกระทั่งมีการปฏิวัติ และคตส.ก็ไม่รู้ว่าได้เปอร์เซ็นต์หรือไม่ ถ้าได้ถือร่วมกันปล้นทรัพย์ พล.อ.สนธิ บุญนรัตกลิน เป็นเพียงหุ่นเชิด แต่คนปักธงเป็นคนปฏิวัติ ส่วนที่ยืดเยื้อไม่จบเพราะประชาชนเห็นใจ ช่วยเหลือตน อำมาตย์จึงผิดหวัง จึงต้องจัดการนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และยุบพรรคพลังประชาชน ก่อนที่จะตั้งรัฐบาลตามที่เขาต้องการ
เตือนเสื้อแดงอย่าโกรธจนกลายเป็นเหยื่อรัฐบาล
พี่น้องเสื้อแดงวันนี้ต้องขอบคุณมากที่ไม่มาชุมนุม ไม่อย่างนั้นก็จะถูกกล่าวหาว่าทำเพื่อผม ถึงได้ขอร้องอย่ามายุ่งในวันนี้ ให้เป็นเรื่องของผมล้วนๆ ก็ต้องขอบคุณ หลายคนอาจโกรธแทน โกรธได้แต่อย่าใช้ความรุนแรง ต้องมีสติ อย่าให้เขาใช้เป็นเหตุปราบปราม ต้องต่อสู้ด้วยสันติ ให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย เพื่อลูกหลานของเราในอนาคต ไม่อย่างนั้นประเทศก็อยู่ใต้อำมาตย์ บ้านเมืองอยู่ยังไง พี่น้องครับ สู้ต่อไป อย่าท้อ ไม่งั้นลูกหลานไม่มีอนาคต ความเชื่อมันไม่มีในประเทศไทย สู้ต่อไป ขอให้สู้ด้วยสันติ อย่าหาเหตุให้รัฐบาลหาเรื่อง
แนะนักธุรกิจอย่าเล่นการเมือง
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวอีกว่า บทเรียนวันนี้บอกได้ว่า นักธุรกิจอย่าเล่นการเมืองเลย นักธุรกิจมีนิสัยทำงานให้สำเร็จดั่งใจ ถ้ามีอะไรขึ้นมาจะโดนยึดทรัพย์อย่างผม หากรักการเมืองจริง ขายให้เกลี้ยง อำมาตย์ไม่รังเกียจการทุจริต แต่อย่าป็อบปูล่า มาก ผมเป็นนายกคนแรก ที่ได้รับเลือกเป็นสมัยที่2ในประวัติศาสตร์ แต่เขาไม่อยากเห็นรัฐบาลป็อบปูล่า ที่เขาประณามผมในวันนี้ ผมทำตามหน้าที่ ไม่เคยคิดโกง เป็นเด็กไม่เคยลอกข้อสอบใคร ไม่มีนิสัยโกงมาตั้งแต่เด็ก ปี 37 บอกมีทรัพย์สิน 6หมื่นล้าน ผมไม่มีความจำเป็น ไม่โลภ นาฬิกาใส่ครั้งละเรือน ใส่หลายเรือนหาว่าบ้า กินก๋วยเตี๋ยว
ฝากโคลงศรีปราชญ์แทนความแค้น
ที่ว่าผมโกงเป็นการกล่าวหาทั้งนั้น คุณหญิงสอนลูกมาดี พวกเราไม่มีความจำเป็นดิ้นรน โกงบ้านเมือง นึกว่า ทำงานเสร็จก็ต้องช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติ ผมเป็นคนแรกถูกยึดทรัพย์ส่วนตัวของครอบครัวเพื่อสังเวยการเมือง แน่นอนผู้ชนะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ วันนี้ไม่ใช่ผู้ชนะแต่เป็นผู้บันทึกประวัติศาสตร์ไว้ หากโกงขอให้ มีอันเป็นไปใน 7วัน10วัน ถ้าไม่จริง ขอฝากโคลงศรีปราชญ์ ธรณีนี่นี้เป็นพยาน เราก็ศิษย์มีอาจารย์หนึ่งบ้าง เราผิดท่านประหารเราชอบ เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนั้นคืนสนอง
ลั่นจะแสวงหาความเป็นธรรมจนเจอ
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวด้วยว่า ตนจะแสวงหาความเป็นธรรมให้เจอ ไม่ว่าอยู่ในนรกหรือสวรรค์ ในประเทศไทยหรือนอกประเทศ ถือว่าวันนี้ไม่ได้รับความยุติธรรมอย่างเต็มๆจะแสวงหาต่อไป ขออย่าดูหนังม้วนเดียว ให้ดูย้อนไปว่าตั้งแต่ผมทำงานมาเป็นอย่างไร ตั้งแต่ปฏิวัติมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ศึกษาให้ดี ขอให้พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยและความเป็นธรรมต่อสู้ต่อไปอย่างสันติ ตนเจ็บคนเดียวไม่เป็นไร แต่ขอให้สิ่งที่เกิดวันนี้เป็นสิ่งที่พัฒนาประชาธิปไตย ขอขอบคุณน้ำใจท่านและคนเสื้อแดง ยิ่งใหญ่มาก ตนจะไม่ลืม และขอโทษลูกๆและคุณหญิงๆ อีกครั้งที่ตนเข้าสู่การเมืองเพราะความดื้อ
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 704 ครั้ง