นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์ว่า การผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญจนที่ประชุมรัฐสภารับหลักการการแก้ไข 2 ประเด็น ว่า ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ต้องการลดความขัดแย้งทางสังคม โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขมาตรา 190 ไม่ได้เป็นการแก้ไขเพื่อให้ไทยต้องเสียดินแดนให้ใครแต่อย่างใด
นายอรรถพร พลบุตร ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีคลิปของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและการแถลงของนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งคำฟ้องของ 3 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่า ทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนของขบวนการทุนสามานย์ที่เคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบ เพื่อกดดันให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคประชาธิปัตย์ และเมื่อศาลไม่ก้มหัวให้ก็เกิดขบวนการทำลายศาลในทุกรูปแบบ โดยมีหลักฐานชัดเจนว่า อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคการเมืองพรรคหนึ่งคือผู้ที่สั่งการขบวนการดังกล่าวนี้ ดังนั้นหากคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญไม่ออกมาตามที่อดีตนายกรัฐมนตรีคนนั้นต้องการ กลุ่มทุนสามานย์ก็จะโหมกระหน่ำทำลายศาลรัฐธรรมนูญและสถาบันหลักอื่นๆด้วยการบิดเบือนข้อมูลต่างๆมากยิ่งขึ้น ส่วนคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญอาจจะอ่านคำพิพากษาในวันที่29พ.ย.นั้น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ทุกคนน้อมรับคำตัดสินไม่ว่าจะยุบพรรคหรือไม่ก็ตาม โดยเชื่อมั่นในความยุติธรรมซึ่งจะปรากฏออกมาในรายละเอียดของคำพิพากษา และถ้าขบวนการทุนสามานย์ยังไม่ยอมยุติการทำลายสถาบันหลักของชาติก็จะได้รับการตอบโต้จากส.ส.ประชาธิปัตย์แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน
“ การก่อการร้ายในรูปแบบใหม่นี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่จากหลักฐานต่างๆทำให้เห็นว่า อดีตนายกรัฐมนตรีและกลุ่มทุนสามานย์คือผู้มีสั่งการให้เกิดการทำลายสถาบันหลักของชาติทุกสถาบัน นับตั้งแต่พ้นจากอำนาจ โดยเฉพาะสถาบันศาลที่ซื้อไม่ได้ ซึ่งอันตรายร้ายแรงยิ่งกว่าการวางก่อวินาศกรรมหรือการเผาบ้านเผาเมืองเสียอีก เพราะเป็นการทำลายถึงในระดับฐานรากของชาติ และถ้าทำสำเร็จ ประเทศไทยก็ไม่มีอะไรจะเหลือเป็นแกนหลักของความเป็นชาติได้อีก คนไทยอาจต้องรับมือกับภัยก่อการร้ายรูปแบบใหม่คือการสร้างความแตกแยกในชาติโดยใช้การบิดเบือนข่าวสารเป็นอาวุธ ซึ่งจะร้ายแรงมากกว่าการวางระเบิด การก่อการจลาจล หรือการเผาบ้านเผาเมือง”นายอรรถพล กล่าว
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 1236 ครั้ง