วันที่30 พ.ย.ที่ห้องรัชดา 8 โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค ถนนรัชดาภิเษก นายสมปอง แซ่ตั้ง ประธานกรรมการบริษัทเบสต์ 59 และปูแดงไคโตซาน พร้อมทีมทนาย ได้เปิดแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักอัยการพิเศษได้มีคำสั่งไม่ฟ้องบริษัทเบสต์ 59 และปูแดงไคโตซาน ในข้อหาแชร์ลูกโซ่และฉ้อโกงประชาชน มีผู้เสียหายหลายหมื่นคน มูลค่าความเสียหายกว่า 2,400 ล้านบาท
โดยนายสมปองได้กล่าวว่า ตนได้ประกอบกิจการมาตั้งแต่ พ.ศ.2546 และมีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องกับทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ในการประกอบธุรกิจแบบขายตรงสินค้าเกษตรกรรม แต่เมื่อเดือนมกราคม 2553 ที่ผ่านมาทางดีเอสไอได้เข้าตรวจค้นบริษัทพร้อมตั้งข้อหาดังกล่าว กระทั่ง ภายหลังทางอธิบดีดีเอสไอรวมถึงอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง ซึ่งที่ผ่านมาทางปูแดงไม่มีโอกาสได้ชี้แจงหรือออกมาโต้แย้ง เพราะคดียังอยู่ในชั้นศาล แต่เมื่อมีคำสั่งไม่ฟ้องตนจึงขอโอกาสออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงบ้าง
“การจับกุมในครั้งนี้ เป็นเพราะทางเจ้าหน้าที่ไม่ทราบข้อเท็จจริงว่าอะไรคือการขายตรง อะไรคือแชร์ลูกโซ่ หากปูแดงทำธุรกิจแบบแชร์ลูกโซ่จริง ทางสคบ.คงไม่อนุญาตให้กลับมาดำเนินธุรกิจแบบเดิมอีกครั้ง ในนามบริษัทปูแดง 168 (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งมีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องการเข้าจับกุมของดีเอสไอสร้างความเสียหายให้กับธุรกิจของบริษัทเป็นอย่างมาก ขณะนี้ได้ให้ทีมทนายฟ้องดำเนินคดีทางอาญากับพ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผอ.สำนักคดีอาญาพิเศษ ดีเอสไอ ในข้อหาหมิ่นประมาทและดูหมิ่นโดยการโฆษณา ต่อศาลอาญารัชดาไปแล้วเมื่อวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมา ในส่วนของการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งนั้น ยังอยู่ในระหว่างการประเมินมูลค่าความเสียหาย ซึ่งเบื้องต้นจากการประเมินมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท” ประธานบริษัทปูแดง กล่าว