วันที่ 4 ก.พ. นายพีรวิช สุวรรณประเทศ รองอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า คนไทยในอียิปต์ 338 คน ที่เดินทางกลับไทยด้วยเที่ยวบินที่ 2 จะถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเวลา 09.15 น. แยกเป็นทารก 5 คน เด็ก 6 คน หญิง 221 คน และชาย 106 คน ยังคงเหลือคนไทยที่แจ้งความประสงค์กลับประเทศอีกกว่า 140 คน เตรียมจัดเครื่องบินเช่าเหมาลำจากดูไบ สหรัฐอารับเอมิเรตไปรับ จากนั้นจะต่อเครื่องของการบินไทยเที่ยวบินที่ TG 518 ออกจากดูไบ 14.00 น.พรุ่งนี้ตามเวลาท้องถิ่น พร้อมระบุญาติคนไทยในอียิปต์ไม่ต้องกังวลยืนยันเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือเต็มที่ส่วนการสื่อสารยังสามารถทำได้ตามปกติอาจติดขัดเป็นบางช่วงเวลา
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กลุ่มผู้สนับสนุนประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัก ของอียิปต์ บุกทำร้ายและจับกุมตัวนักข่าวต่างชาติและนักสิทธิมนุษยชนระหว่างการประจัญหน้าของกลุ่มผู้สนับสนุนและผู้ต่อต้านประธานาธิบดีที่บริเวณจตุรัสทารีห์ในกรุงไคโรดำเนินเป็นวันที่สองเมื่อวาน
คณะกรรมการคุ้มครองผู้สื่อข่าว ระบุว่า มีนักข่าวถูกจับกุมตัว 24 คนในเวลา 24 ชั่วโมงรวมถึงนักข่าวของหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์และเดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ และมีนักข่าวถูกทำร้าย 21 คน เช่น นักข่าวกรีซถูกแทงที่ขาด้วยไขควง และช่างภาพถูกชกหน้าและอุปกรณ์ทำงานถูกทุบทำลาย
นอกจากนี้มีรายงานว่านักข่าวบางคนถูกทุบตีด้วยไม้ และกลุ่มสนับสนุนผู้นำอียิปต์ ได้บุกตามโรงแรมต่างๆเพื่อค้นหานักข่าว ขณะที่บรรณาธิการข่าวต่างประเทศของบีบีซี บอกว่า กองกำลังฝ่ายความมั่นคงของอียิปต์ได้เข้ายึดอุปกรณ์ที่โรงแรมเพื่อให้หยุดการรายงานข่าว และนักข่าวบีบีซีคนหนึ่งบอกว่า ตำรวจได้ใส่กุญแจมือและปิดตาเขา และสอบปากคำนานถึง 3 ชั่วโมงจึงยอมปล่อยตัว
ขณะเดียวกันนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนก็ตกเป็นเป้าโจมตีด้วยเช่นกัน ตำรวจได้บุกสำนักงานของกลุ่มสิทธิมนุษยชนแห่งหนึ่งและจับกุมตัวนักเคลื่อนไหวไปอย่างน้อย 30 คน รวมถึงเจ้าหน้าที่ 2 คนขององค์การนิรโทษกรรมสากล และเจ้าหน้าที่ของกลุ่มฮิวแมน ไรท์ วอทช์
คณะกรรมการคุ้มครองผู้สื่อข่าวบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการโจมตีสื่อต่างชาติอย่างเป็นระบบอย่างที่ไม่เคยปราฏมาก่อน และเป็นวันแห่งความมืดมนของอียิปต์และสื่อมวลชน นอกจากนี้สถานีโทรทัศน์ของฝรั่งเศสช่องหนึ่ง บอกว่า การที่สถานีโทรทัศน์ของทางการอียิปต์กล่าวโทษว่านักข่าวต่างชาติเป็นต้นเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้นในอียิปต์ เป็นการปลุกระดมอย่างเปิดเผยให้มีการทำร้ายนักข่าว
รัฐบาลสหรัฐและหลายประเทศต่างประสานเสียงประณามเหตุการณ์โจมตีผู้สื่อข่าว โดยนางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ บอกว่า รัฐบาลและกองทัพอียิปต์มีหน้าที่รับผิดชอบในการคุ้มครองความปลอดภัยของนักข่าว นอกจากนี้ทางการอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และสเปน ออกแถลงการณ์ร่วมกันประณามการทำร้ายนักข่าวว่าเป็นการกระทำที่ยอมรับไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หลังการประท้วงดำเนินมานาน 10 วัน ประธานาธิบดีฮอสนี มูบารักของอียิปต์วัย 82 ปี ที่ปกครองประเทศมานาน 30 ปีให้สัมภาษณ์กับคริสเตียน อามานพัวร์ พิธีกรจากสถานีโทรทัศน์เอบีซี นิวส์ เมื่อวานว่า หลังจากเขาทำงานรับใช้ชาติมานาน 62 ปี เขารู้สึกพอแล้วและอยากจะลาออก แต่หากลาออกวันนี้ ก็จะทำให้ประเทศตกอยู่ในภาวะยุ่งเหยิง และเขาไม่สนใจว่าใครจะวิจารณ์ว่าอย่างไร และสิ่งที่เขาห่วงใย คือ ประเทศอียิปต์
แต่กลุ่มผู้ประท้วงที่ปักหลักชุมนุมในจตุรัสทารีห์ในกรุงไคโร ยืนยันจะชุมนุมใหญ่ในวันนี้โดยให้ชื่อว่า “ฟรายเดย์ ออฟ ดีพาร์ตเจอร์” หรือวันพ้นอำนาจ ซึ่งเป็นวันที่พวกเขากำหนดเส้นตายให้มูบารักลาออก และนายกรัฐมนตรีอัคเหม็ด ชาฟิค ได้กำชับให้กระทรวงกลาโหมอย่าได้ขัดขวางการเดินขบวนอย่างสันติ
ส่วนสถานการณ์ในบริเวณจตุรัสยังคงตึงเครียด โดยยังมีผู้ประท้วงหลายหมื่นคนอยู่ในบริเวณจตุรัสเมื่อคืนวาน และบางส่วนได้ปะทะกับผู้สนับสนุนของมูบารัก โดยทั้งสองฝ่ายขว้างก้อนหิน ระเบิดเพลิงเข้าใส่กัน และบางครั้งมีเสียงปืนดังขึ้นประปราย แม้ว่าก่อนหน้านั้นในช่วงกลางวันเมื่อวานนี้ตามเวลาท้องถิ่น ทหารและรถถังได้เข้าแทรกกลางระหว่างม็อบสองฝ่ายเพื่อเป็นเขตกันชนแยกม็อบสองฝ่ายออกจากกัน
ทางการอียิปต์ แจ้งว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากการปะทะกันระหว่างผู้สนับสนุนและผู้ต่อต้านประธานาธิบดีที่เริ่มขึ้นตั้งแต่วันพุธถึงเมื่อวานเพิ่มขึ้นเป็น 8 คนและมีผู้บาดเจ็บ 890 คน กระทรวงมหาดไทยยืนยันไม่มีเจ้าหน้าที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีขับไล่กลุ่มผู้ประท้วง และประธานาธิบดีมูบารัก กล่าวโทษว่ากลุ่มมุสลิม ภราดรภาพ ที่ร่วมสนับสนุนการชุมนุมขับไล่เขา เป็นต้นเหตุ
แต่โฆษกกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐ บอกว่า มีเบาะแสที่บ่งชี้ว่ากลุ่มที่มีส่วนใกล้ชิดกับรัฐบาลหรือพรรคประชาธิปไตยแห่งชาติของมูบารัก มีส่วนอยู่เบื้องหลังการก่อความรุนแรงเมื่อวันพุธ นอกจากนี้เขาบอกว่า ในขณะที่มีความพยายามอย่างชัดเจนในการขัดขวางนักข่าวรายงานเหตุการณ์ปะทะในไคโร ทางการสหรัฐวิตกว่าวันศุกร์นี้จะมีจำนวนผู้ชุมนุมเพิ่มขึ้นอย่างมาก และจะกลายเป็นการประจัญหน้าอย่างแท้จริง
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 1008 ครั้ง