สุเทพ เห็นด้วยแนวคิด มทภ. 2 ร่วมบริหารเขาพระวิหาร-พันธมิตรอัด มทภ.2 เสนอ 3โบราณสถานเป็นมรดกโลกร่วมกัมพูชา ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เชื่อ กษิต กล่อมวีระ-ราตรีให้รับผิด
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีที่ พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 เสนอให้มีการยื่นขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วมกับกัมพูชา พร้อมแบ่งพื้นที่การบริหารจัดการในลักษณะ 50 : 50 รวมทั้งกรณีที่รัฐบาลไทยมีแนวคิดในการนำสถูปคู่ สระตราว และภาพสลักนูนต่ำ บริเวณใกล้เคียงปราสาทเขาพระวิหารไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกในอนาคตว่า เป็นเรื่องที่ไม่สามารถแก้ไขหยุดยั้งการละเมิดอธิปไตยของไทยได้แม้แต่น้อย เนื่องจากโบราณสถานทั้ง 3 แห่งไม่มีความเกี่ยวพันกับแผนบริหารจัดการมรดกโลกปราสาทพระวิหาร โดยพื้นที่ในแผนบริหารที่กัมพูชายึดถืออยู่นั้นไม่ได้เกี่ยวข้องการบริเวณสถูปคู่ หากแต่นำพื้นที่วัดแก้วสิขาคีรีสวาระ เพื่อเป็นจุดในการสร้างถนนตัดผ่านขึ้นไปสู่ตัวปราสาทเขาพระวิหาร ส่วนแนวคิดที่จะขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วมกันนั้นไม่สามารถทำได้แล้วในขณะนี้ เพราะทะเบียนปราสาทพระวิหารที่ขอขึ้นเป็นมรดกโลกนั้นถือโดยกัมพูชาฝ่ายเดียว ซึ่งหากมีความคิดนำส่วนอื่นที่เป็นของไทยแท้ไปขึ้นทะเบียนร่วมก็เหมือนกับมอบดินแดนให้กัมพูชามากขึ้น
ดังนั้น ความพยายามขึ้นทะเบียนมรดกโลกในช่วงนี้เพื่อหวังแก้ปัญหานั้นไม่สามารถทำได้
ด้าน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรกล่าวว่า กรณีที่ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะเดินทางไปร่วมประชุมกับ นายฮอร์ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่ จ.เสียมราฐ นั้น ทางกลุ่มพันธมิตรฯ เชื่อว่า เป็นการไปเจรจาเพื่อเกลี่ยกล่อมให้ นายวีระ สมความคิด ยอมรับผิดตามคำตัดสินของศาลกัมพูชา ซึ่งทาง กลุ่มพันธมิตรฯ ยืนยันว่า ศาลกัมพูชา ไม่มีอำนาจตัดสินคดี เนื่องจาก นายวีระ ถูกจับกุมในพื้นที่ของประเทศไทย ทั้งนี้ พล.ต.จำลอง ยังกล่าวอีกว่า การที่จะบุกเข้า ทำเนียบรัฐบาล หรือไม่ หากจะบุกก็เชื่อว่า ทำสำเร็จได้โดยง่าย ซึ่งหาก เจ้าหน้าที่ตำรวจ จะเข้าสลายการชุมนุม ก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่ทางกลุ่มพันธมิตรฯ ยืนยันว่าจะกลับมาชุมนุมเพื่อเรียกร้องข้อปฏิบัติ 3 ข้อเช่นเดิม
สุเทพเห็นด้วยแนวคิดร่วมบริหาร
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวกรณีเดียวกันว่า เป็นแนวคิดและเป็นทางออกที่ดีสำหรับสถานการณ์ในขณะนี้ เพราะในพื้นที่ที่เรายังตกลงกันไม่ได้ว่าจะใช้หลักฐานอะไรมายืนยันว่าเป็นของไทย หรือกัมพูชา ก็น่าจะมาพัฒนาและใช้ประโยชน์ร่วมกัน เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งในบางพื้นที่เราก็ทำมาแล้ว เช่น พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่ไทยกับมาเลเซียต่างก็อ้างสิทธิ์ เราก็เอามาทำเป็นบริษัทร่วมทุน มีการพัฒนาร่วมกัน ขุดเจาะน้ำมันในพื้นที่นั้น แล้วก็มาแบ่งประโยชน์กันใช้ ไม่ต้องมาทะเลาะกัน
อย่างไรก็ตาม แนวคิดดังกล่าวก็อยู่ที่ผู้นำกัมพูชาจะพิจารณาอย่างไร ซึ่งหากไทยและกัมพูชามีความเห็นสอดคล้องกันว่าสมควรพัฒนาพื้นที่นี้ร่วมกัน ก็ต้องลองมาพูดคุยกันในรายละเอียดว่า คำว่าพัฒนาร่วมกันเป็นอย่างไร และจะได้ผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งในการขึ้นทะเบียนมรดกโลกครั้งนี้หรือไม่ หรือจะดำเนินการกันอย่างไร จากนั้นก็ไปถามประชาชน และสภาฯ ของแต่ละประเทศต่อไป
ส่วนไทยจะส่งใครเป็นตัวแทนไปพูดคุยนั้น นายสุเทพกล่าวว่า เป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ก็เดินทางไปกัมพูชา เพื่อประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-กัมพูชา (เจซี) ครั้งที่ 7 ส่วนจะมีการหยิบยกประเด็นนี้มาพูดคุยกันหรือไม่ ตนไม่ทราบ
ผู้สื่อข่าวถามว่าการส่งคนที่เคยมีปัญหาต่อกันไปพูดคุยจะรู้เรื่องหรือ นายสุเทพกล่าวว่า ตนเชื่อว่าพูดกันรู้เรื่อง เพราะไม่ใช่เรื่องที่จะฟังกันไม่เข้าใจ เว้นแต่เป็นบางเรื่องที่ต้องใช้เวลา หรือข้อมูลอื่นๆ มาประกอบ ก็อาจจะมีชุดทำงานพิเศษได้ เช่น การร่วมมือระหว่างรัฐบาลจีนกับไทย ในการสร้างทางรถไฟจากไทยไปลาวและมาเลเซีย เป็นต้น
ส่วนที่โฆษกรัฐบาลกัมพูชาออกมาวิจารณ์ไทยที่นำเรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารมาเป็นประเด็นใหญ่โตเกินไป ทั้งที่กัมพูชาเป็นเพียงประเทศเล็กๆ นายสุเทพกล่าวว่า เขาก็พูดในมุมของเขา อย่าไปรู้สึกกันมาก เราอยู่รั้วติดกัน ไม่ว่าพูดอะไรก็ได้ยินกันหมด ดังนั้นถ้าเราคิดถึงใจเขาใจเราไว้บ้าง ก็จะไม่เป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม เราก็ฟังเขาบ้าง เพราะเป็นธรรมดาที่ทุกฝ่ายก็ต้องปกป้องผลประโยชน์ของประเทศตัวเอง
ส่วนที่มีข่าวว่าได้ส่งนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)ไปกัมพูชา นายสุเทพกล่าวว่า ตนไม่ได้ส่งไป แต่เป็นหน้าที่ของเลขาธิการ สมช.อยู่แล้ว ที่ต้องร่วมคณะไปพูดคุยในเจซีกัน ส่วนจะไปพูดคุยเรื่องอะไรนั้น ขอให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ชี้แจงดีกว่า
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 1143 ครั้ง