วันที่ 15 มีนาคม 2554 เวลา 09.00 น. ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ณ อาคารรัฐสภา ภายหลังนายวิทยา บุรณศิริ อภิปรายเสนอญัตติแล้ว นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้ขึ้นอภิปราย โดยนายมิ่งขวัญได้นำสไลด์ประกอบการอภิปราย โดยระบุว่า สต็อกน้ำมันปาล์มลดลงต่ำกว่าระดับเฝ้าระวังต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกันยายน 2553 พร้อมตั้งข้อสงสัยทำไมรัฐบาลไทยถึงอนุมัตินำเข้าปาล์ม แล้วฝาจุกขวดน้ำมันจะมีสีฟ้า-สีชมพูเพื่ออะไร
อย่างไรก็ตาม นายมิ่งขวัญชี้ถึงผลกระทบกับการจัดการน้ำมันปาล์มของรัฐบาลด้วยว่า ทำให้ 1.ราคาดีเซลผันผวน 2.ประชาชนแบกรับภาระน้ำมันปาล์มขึ้นราคา 30% นายมิ่งขวัญกล่าวต่อว่า ประเทศไทยเคยเป็นประเทศผลิตและส่งออกปาล์มมากถึงหลายแสนตันต่อปี แต่ ณ ปัจจุบันนี้ปัญหาการขาดแคลนปาล์มเกิดขึ้นได้อย่างไร พร้อมตั้งข้อสงสัยว่าปัญหาการขาดแคลนปาล์มเกิดจากการทุจริตของรัฐบาลอย่างแน่นอน ในช่วงหนึ่งของการอภิปราย นายมิ่งขวัญตั้งคำถามรัฐบาลด้วยว่า “บริหารไม่เป็น หรือ ปล้นประชาชน??” พร้อมสรุปการบริหารงานด้านพลังงานของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่า ล้มเหลวในการบริหารจัดการพลังงานอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ดีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ลุกชี้แจงประเด็นนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วนเพื่อไทย ได้ครบถ้วนทุกประเด็น และสวนกลับแบบเชือดนิ่มๆ ด้วยข้อมูลมากมายที่ล้วนย้อนกลับไปในยุคสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และในยุคที่นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ เป็นรมว.พาณิชย์ โดยระบุว่าข้อมูลการอภิปรายเป็นการพูดไม่หมด เอาข้อมูลมาประติดประต่อ เอาเรื่องหนี้สิน การกู้เงิน แต่เศรษฐกิจดี การท่องเที่ยวดี ไม่เอามาพูด
“ยามใดเศรษฐกิจตกต่ำ ลำบาก รัฐบาลต้องเข้าไปดูแลประชาชนต้องเข้าไปก่อหนี้ และการกอบกู้เศรษฐกิจปลายปี51 ฐานการคลังไม่ได้แย่ลง และท่านเอามาเปรียบเทียบว่าตัวเลขสมัยท่านดีกว่าอย่างนั้นอย่างนี้ แต่การก่อหนี้เอามาสร้างถนน สร้างแหล่งน้ำ แต่การก่อหนี้เพื่อนำมากระตุ้นเศรษฐกิจเป็นแนวทางที่ถูกต้องในการดูแลเศรษฐกิจ”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า ที่ทำมาทั้งหมดเพื่อฐานะความมั่นคงทางการเงิน การคลัง หนี้สาธารณะดูกันเทียบกับจีดีพีสัดส่วนเท่าไร สมัยรัฐบาลทักษิณออกจากตำแหน่งหนี้สาธารณะ 42.75% ต่อจีดีพี แต่ที่รัฐบาลนี้บริหารหนี้สาธารณะอยู่ที่ 41.94%ต่อจีดีพี แสดงให้เห็นฐานะการคลังมีความมั่นคง
“ถ้าบ้านเมืองจะล่มสลาย ประเทศที่จะให้กู้เงินเขาจะบอกว่าล่มสลายให้เครดิต เรทติ้ง แต่การบริหารการเงินการคลังตอนนี้ดีขึ้น”นายกฯ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าบริหารของรัฐบาลแย่ท่านก็ไปบอกประชาชนในการหาเสียงเลือกตั้ง และผมก็เชื่อว่ารัฐบาลบริหารเศรษฐกิจดีขึ้น ก็ต้องไปบอกประชาชน ผมไม่เอาวาทกรรม แต่เอาของจริง
นายกฯ กล่าวโต้ว่ากรณีเรื่องบุหรี่การเอาสินค้านำเข้าปลอดภาษีอากร มาเปรียบเทียบกับสินค้านำเข้าไม่ได้และไม่มีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม อย่างเอาตรงนั้นมาจับตรงนี้ และอย่าเอาการจับแพะมาชนแกะ
โดยย้อนไปถึงยุคนายมิ่งขวัญเป็น รมว.พาณิชย์ ว่ากรณีราคาข้าวปี51เกิดวิกฤติในตลาดโลก และที่ท่านทำตอนนั้นราคาดี พร้อมที่จะไปบอกประชาชนถ้าเลือกพวกผมพร้อมประกันราคาข้าวต่อ และช่วยเหลือชาวบ้านมากกว่า และเป็นการบิดเบือนกลไกตลาดน้อยกว่า และเข้าสู่เวทีหาเสียงช่วยบอกว่าท่านยกเลิการประกันราคาข้าว
“ท่านบริหารข้าวเสียหายมากที่เก็บไว้ในสต๊อก จนรัฐบาลชุดหลังขายข้าวที่เก็บสต๊อกเอาไว้ออกขายต้องขาดทุน และในสมัยนั้นท่านต้องถูกถอดออกจากรัฐมนตรีว่ากรกระทรวงพาณิชย์”นายกฯ กล่าว
ส่วนเรื่องกองทุนราคาน้ำมันสมัยนายกฯทักษิณ ชินวัตรติดลบเกือบ 9 หมื่นล้านบาท และสมัยรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ กลับบริหารมาเป็นบวกได้ และสมัยผมไม่บริหารให้ติดลบ 9 หมื่นล้านบาท
“หลักคิดของรัฐบาลนี้เมื่อราคาน้ำมันดิบราคาลดลง เราก็เก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเอาไว้ก่อน แล้วค่อยนำมาใช้เมื่อราคาน้ำมันแพง”
นอกจากนี้ ยังระบุถึงความล้มเหลวในการทำงานของนายมิ่งขวัญด้วยว่า ไม่ใช่ฝ่ายค้านหรือรัฐบาลเท่าน้ะนที่ตัดสิน แต่เกิดจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเอง ที่ปรับนายมิ่งขวัญ พ้นครม. และนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ยังให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเอง ว่านายมิ่งขวัญเป็นจุดอ่อนในการอภิปราย