เรือหลวงจักรีนฤเบศร์เทียบท่าส่งนักท่องเที่ยวที่สัตหีบ
วันที่ 31 มีนาคม ความคืบหน้าเหตุดินโคลนถล่มบนเขาพนมเบญจา ต.หน้าเขา อ.เขาพนม จ.กระบี่ พ.อ.ทิม เรือนโต ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 15 จ.กระบี่ กล่าวเมื่อค่ำวันที่ 30 มีนาคมว่า จากการตรวจสอบพบผู้เสียชีวิต จำนวน 7 ศพในพื้นที่หมู่ 7 ต.หน้าเขา คาดว่า มีผู้สูญหาย 100 คนเศษ โดยขณะเกิดเหตุมีทั้งดินโคลน และท่อนซุงขนาดใหญ่ไหลลงมากระแทกอย่างรุนแรง โดยมีชาวบ้านบางส่วนยังเฝ้าบ้านเรือนของตนที่ไม่ได้รับความเสียหายมากนัก เนื่องจากเป็นห่วงบ้านเรือน และทรัพย์สิน ส่วนประชาชนที่เข้ามาพักอยู่ที่ศูนย์พักพิงวัดถ้ำโกบมีประมาณ 200 คน
พ.อ.ทิม เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำท่วม และดินถล่มในพื้นที่ ต.หน้าเขา เริ่มมีความรุนแรงตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม เป็นต้นมา และจนถึงค่ำวันที่ 30 มีนาคม ฝนก็ยังไม่หยุดตก ขณะที่ระดับน้ำก็ยังไม่ลดลง และมีสีขุ่นขึ้น จึงยังไม่สามารถไว้วางใจสถานการณ์ได้
“ปฏิบัติการช่วยเหลือในค่ำวันที่ 30 มีนาคม ต้องหยุดเอาไว้ก่อน เนื่องจากฝนยังตกไม่หยุด และมีดินโคลน และต้นไม้ขนาดใหญ่กีดขวางเส้นทางอยู่ โดยในเช้าวันที่ 31 มีนาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) จะเดินทางมาเยี่ยมผู้ประสบภัย แและสำรวจสภาพความเสียหายในพื้นที่เพื่อให้ความช่วยเหลือ ส่วนแนวทางการช่วยเหลือเท่าที่คุยกับฝ่ายปกครอง ตำรวจ และนาวิกโยธินจะมีการระดมรถแมคโครขนาดใหญ่เข้ามายกสิ่งกีดขวาง และเคลียร์เส้นทางที่จะเข้าไปช่วยเหลือประชาชนที่ติดค้างอยู่” พ.อ.ทิม กล่าว
พ.อ.ทิม กล่าวถึงการให้ความช่วยเหลือในส่วนของกองพันทหารราบที่ 1 ว่า เมื่อวันที่ 29 มีนาคม ได้ส่งกำลังเข้ามาช่วยเหลือประมาณ 30 กว่านาย และในวันที่ 30 มีนาคม ได้เพิ่มกำลังเข้ามาอีกประมาณ 40 นาย และในวันที่ 31 มีนาคม จะระดมทั้งกำลังพล และยุทโธปกรณ์ต่างๆ เข้ามาช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องอาหารและน้ำดื่มยังไม่ขาดแคลน เพราะมีการระดมมาช่วยจากทุกฝ่าย
“ความช่วยเหลือเป็นไปอย่างลำบาก เนื่องจากบ้านพังราบกลายเป็นสนามฟุตบอลพื้นที่ประมาณ 2 สนามฟุตบอล ต้องใช้เชือกเป็นหลัก ทุลักทุเลเป็นอย่างมากเพราะฝนยังตก ส่วนที่ได้เห็นศพและได้นำออกมามี 2 ศพ และได้นำผู้บาดเจ็บออกมา เมื่อคืนนี้ทหารช่างก็นำรถแบ๊คโฮมาเปิดทาง สภาพบ้านก็โดนดินโคลนพัดบ้านล้มไป ความสูงของโคลนที่ทับถล่มหมู่บ้านประมาณ 2 เมตรขึ้นไป ในพื้นที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์และไฟก็ดับ ส่วนช่วงเช้าวันนี้มีกำลังพล 200 กว่านายและมีอุปกรณ์พร้อม กำลังจะเข้าไปปฎิบัติการต่อ ยืนยัน ช่วยเหลือเต็มที่”
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบล่าสุด บริเวณจุดหน้าเขา พบว่า ยังมีผู้สูญหาย 6 คน แต่ยังมีหลายส่วนที่ยังตรวจสอบไม่ได้
สำหรับการช่วยเหลือเบื้องต้น เนื่องจากชาวบ้านบริเวณดังกล่าวเป็นมุสลิม ดังนั้น อาหารต้องเป็นอาหารที่มุสลิมรับประทานได้
นายวินัย (ไม่ทราบนามสกุล) ชาวบ้านผู้ประสบภัยที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ม.6 เล่าถึงนาทีระทึกว่า หลังจากฝนตกหนักในพื้นที่ติดต่อกันประมาณ 5 วันกระทั่งเมื่อช่วงเช้าวันที่ 29 มี.ค. น้ำจากเทือกเขาพนมเบญจาก็เริ่มไหลลงเข้าท่วมบ้านเรือนของชาวบ้านบางส่วน ซึ่งน้ำเริ่มมีสีขุ่นมากขึ้นแต่ชาวบ้านก็ไม่ได้เอะใจ เพราะไม่มีประสบการณ์เรื่องนี้ เพียงแต่รีบขนย้ายสิ่งของขึ้นชั้นสองของบ้าน มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ขนของขึ้นรถออกจากพื้นที่
“ช่วงค่ำวันที่ 29 มี.ค. ขณะที่ชาวบ้านบางคนนอนหลับ ซึ่งผมกำลังดูน้ำที่ไหลมาจากภูเขา ก็ได้ยินเสียงน้ำไหลและต้นไม้หักโค่นดังสนั่นมาจากเทือกเขาพนมเบญจา จากนั้นน้ำป่ารวมทั้งดินโคลนก็ไหลเข้าทับบ้านของชาวบ้านที่อยู่ใกล้ภูเขาอย่างรวดเร็ว
“ผมรีบพามารดากับภรรยาวิ่งหลบหนีออกจากบ้านอย่างไม่คิดชีวิต จนไปหลบอยู่บนที่สูงได้พร้อมเพื่อนบ้านหลายคนแต่ก็ทราบว่ามีเพื่อนบ้านและญาติพี่น้องจำนวนมากติดอยู่ตามบ้านเรือนและบางส่วนก็ถูกดินโคลนทับถล่ม กระทั่งทหารจากกองพันทหารราบที่ 1และหน่วยกู้ภัยเข้ามาช่วยเหลือได้เมื่อเที่ยงของวันที่30 มี.ค.”วินัยกล่าว
ขณะที่ ผู้รอดชีวิตอีกรายจาก หมู่ที่ 7 บ้านบางสร้าง ต.หน้าเขา เปิดเผยว่า ตำบลหน้าเขาจะเป็นพื้นที่อยู่ริมเชิงเขาพนมเบญจา ซึ่งมีฝนตกชุกเกือบตลอดทั้งปี แต่เหตุการณ์ดินถล่มใน ต.หน้าเขา เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ก่อความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สินของราษฎรมากมายขนาดนี้
“เมื่อก่อนมันมีบ้าง แต่เพียงเล็กน้อย ฝนตกหนักๆ โคลนก็ไหลลงมาแต่มันมาหยุดที่เชิงเขา ไม่เหมือนครั้งนี้ที่มันก่อความเสียหายหนักมาก ขนาดคนเฒ่าคนแก่ยังบอกว่าเกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น”
เขาเล่าว่า หนีรอดออกมาจากหมู่บ้านพร้อมกับลูกและภรรยาด้วยเสื้อผ้าเพียงชุดเดียว หลังจากเดินทางมาที่ รพ.เขาพนมจึงทราบว่ามีญาติคนหนึ่งบาดเจ็บที่ถูกช่วยนำออกมารักษาตัว แต่ส่วนพ่อและญาติพี่น้องอีกหลายคนยังไม่ทราบชะตากรรมในตอนนี้
กาญจนดิษฐ์ดินถล่มหาย 4 คน
นายสนิท ศรีวิหค นายอำเภอกาญจนดิษฐ จ.สุราษฎร์ธานี ให้สัมภาษณ์ผ่านสปริงนิวส์ ถึงสถานการณ์น้ำท่วมว่า ในอ.กาญจนดิษฐ มีคนอยู่เรือนแสน ขณะนี้มีผู้เดือดร้อนประมาณ70% ขาดแคลนอาหารแต่ก็มีวิธีการส่ง โดยประสานผ่านทางผู้นำท้องถิ่นเพื่อส่งอาหารข้าวสารเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย
สำหรับสภาพอากาศยังมืดครึ้ม ไม่มีฝนก็จริง แต่ก็ยังตรวจเช็คต้นน้ำอยู่ตลอดว่าจะมาเพิ่มไหม ขอให้พี่น้องอยู่ใกล้น้ำ ให้ย้ายออกมาเลย ไม่ต้องหวงของ ส่วนประชาชนห่วงบ้าน มีที่สูงอยู่ก็มั่นใจ ก็ไม่เป็นไรว่าปลอดภัย ล่าสุดได้รับแจ้งจากสมาชิกอบต.คลองสัก ว่าเกิดเหตุบ้านถูกดินถล่มทับ มีผู้สูญหายไป 5 คน
นายสนิท ยังได้เสนอแนวคิด ให้ทหารอากาศใช้ฮ.ลงไปช่วยเหลือ เพราะรถหรือเรือเข้าไม่ได้ ขณะนี้เดือดร้อนเรื่องอาหารการกิน เนื่องจากชาวบ้านในหมู่บ้าน หลบอยู่ในหมู่บ้านต่างๆ
มีรายงานล่าสุดว่า ที่อ.กาญจนดิษฐ์ พบเด็กหนุ่มอายุ 16 ปี ได้ปีนหนีขึ้นไปอยู่บนต้นไม้เพื่อหลบกระแสน้ำแรงจนปลอดภัย ทำให้ยอดผู้สูญหายขณะนี้เหลือ 4 คน
เรือหลวงนำนักท่องเที่ยวเทียบท่าสัตหีบ
เวลา 07.30 น.พล.ร.ท.วิทูรย์ คัมภีระพันธ์ ผู้บัญชาการกองทัพเรือ ภาคที่ 2 ให้สัมภาษณ์สปริงนิวส์ กล่าวว่า เรือหลวงจักรีนฤเบศร์กำลังเทียบท่าที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี และนักท่องเที่ยวจากเกาะเต่าที่มาด้วยคงจัดแบ่งเป็นกลุ่ม ตามที่ได้สอบถามความต้องการว่าจะไปไหน แบ่งเป็น 3 จุดหมายใหญ่ คือ 1.ไปสนามบินสุวรรณภูมิ 70เปอร์เซนต์ 2.ไปกทม. 3.ไปพัทยา ประจวบ ชุมพร
ส่วนที่มีนักท่องเที่ยวยังค้างอยู่ที่เกาะเต่าประมาณ 700-800 คน เกาะพะงัน 1,000 กว่าคน และเกาะสมุย 1,000 กว่าคน
สำหรับขณะนี้สภาพอากาศคลื่นลมไม่แรงมากแล้ว เรือเฟอรี่ ก็สามารถวิ่งได้แล้ว ต้องสอบถามทางเกาะต่าง ๆ ต้องการให้เจ้าหน้าที่ช่วยเหลืออะไรอีกหรือไม่ สำหรับภาระกิจเรือหลวงอีก 3 ลำก็แบ่งกันไปตามเกาะต่าง
กรมอุตุฯเตือนฝนยังหนาแน่น
กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ประกาศเตือนภัย “สภาวะน้ำท่วมในภาคใต้” ฉบับที่ 19 ลงวันที่ 31 มีนาคม 2554 โดยระบุว่า เวลา 04.00 น. วันที่ 31 มี.ค. 54) หย่อมความกดอากาศต่ำที่เคลื่อนมาปกคลุมบริเวณจังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และกระบี่ เริ่มมีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคใต้มีฝนชุกหนาแน่นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ได้ในวันนี้ หลังจากนั้นปริมาณฝนจะลดลง จึงขอให้ประชาชนบริเวณจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา พังงา กระบี่ ตรัง และสตูล ยังคงต้องระวังอันตรายจากสภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากต่อไปอีก ส่วนคลื่นลมในอ่าวไทยและทะเลอันดามันสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในระยะ 1-2 วันนี้ไว้ด้วย
สำหรับบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนเริ่มมีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และกรุงเทพมหานคร มีอากาศเย็นต่อไปอีก 1-2 วัน แต่อุณหภูมิจะเริ่มสูงขึ้นในตอนกลางวัน
สำหรับการแจ้งข่าวสาร
โทรสายด่วน 1111 ศูนย์บริการประชาชน โทรตลอด 24 ชั่วโมง หลายร้อยคู่สาย
โทรสายด่วนนิรภัย 1784 ศูนย์นิรภัย ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ตลอด 24 ชั่วโมง
สายด่วนช่วยผู้ประสบภัยของตำรวจ 1599
เช็คตารางรถไฟ Call Center 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง
สามารถตรวจสอบเส้นทางถนนได้ที่ตำรวจทางหลวง สายด่วน 1193
โทร1586 กรมทางหลวง สอบถามเส้นทาง ได้ 24 ชั่วโมง
สำนักงานประชาสัมพันธ์ทางหลวง 02-354-6530 , 02-354-6668-76 ต่อ 2014 ,2031
ศูนย์บริหารงานอุบัติภัย สำนักบริหารบำรุงทาง 02-354-6551
โทรตรวจสอบเที่ยวบิน 02-132-1888
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 1431 ครั้ง