ปี 2554 ได้เกิดแผ่นไหวเกิดขึ้นรุนแรงหลายครั้ง นับตั้งแต่ที่นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น ตลอดจนพม่า เสียชีวิตสูญหายหลายหมื่นคน มีข้อมูลระบุว่า ได้เกิดแผ่นดินไหวเฉลี่ยวันละ 3 ครั้ง ตลอดจนการเกิดภัยพิบัติในพื้นที่ภาคใต้ จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 60 คน กลายเป็นกระแสความหวาดวิตกว่า เกิดอะไรขึ้นกับโลกนี้ ถือถึงกาลที่โลกต้องดับสลายแล้ว
ความจริงกระแสความตื่นกลัวโลกแตก ได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปลายปี 2552 ว่า จะเกิดการสิ้นโลกในปี 2012 ต่อ เป็นกระแสที่ถูกกระตุ้นจากภาพยนต์เรื่อง 2010 ที่เข้าฉายเมื่อปลายเดือนธันวาคม 2552 มีความพยายามโยงไปยังทฤษฎีขั้วแม่เหล็กขององค์การนาซา ศาสนา และโหราศาสตร์ ถูกนำมาเชื่อมโยงจนดูเหมือนเรื่องเดียวกัน MTODAY จึงได้ใช้เวลารวบรวมข้อมูล เพื่อฟันธงถึงอนาคตของความตื่นตระหนกที่ดำรงอยู่ว่า เป็นจริงแค่ไหน
MTODAY ได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมด ทั้งที่เคยมีการนำเสนอมาแล้ว และข้อมูลใหม่ มาวิเคราะห์ให้เห็นสภาพ ที่แท้จริง ในปี 2555 ทั้งข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ข้อมูลด้านโหราศาสตร์ การทำนายทายทักต่างๆ อันรวมถึงการทำนายของนักพยากรณ์ชื่อดัง นอสตราดามุส ที่สำคัญที่สุด คือได้รวบรวมการพยากรณ์ของศาสดาในศษสนาสำคัญ พุทธ คริสต์ อิสลาม มารวมไว้ ซึ่งเป็นข้อมูลที่น่าจะมีความชัดเจนและเชื่อได้มากที่สุด
เป็นที่ยอมรับกันอย่างมั่นคงว่า โลกนี้จะถึงกาลดับสลายแน่นอน ทั้งข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์ และคำพยากรณ์ของศาสดาอย่างน้อย 3 ศาสนา คือ พระพุทธเจ้า ในพุทธศาสนา พระเยซู ในศาสนาคริสต์ และนบีมูฮัมหมัด ในศาสนาอิสลาม ซึ่งต้องยอมรับว่า บุคคลที่กล่าวมา มีพลังยิ่งใหญ่ในการหยั่งรู้ความเป็นไปของโลกและมนุษยชาติ เพียงแต่ไม่ได้บอกเวลาไว้ชัดเจน เพื่อไม่ให้มนุษย์ได้รับรู้ถึงวันเวลาที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้มนุษย์ใช้ชีวิตอย่างประมาท เมื่อไม่ทราบวันเวลาที่แน่ชัดของวันสิ้นโลก มนุษย์จึงพยายามนำข้อมูลหลักฐานจากแหล่งต่างๆมาประมวลเพื่อพยากรณ์ ซึ่งจริงบ้างเท็จบ้าง และบางครั้งเพื่อผลทางการตลาด
ภาพยนต์ 2012 ไม่ได้สะท้อนอะไรมากไปกว่า การรับใช้ระบบทุนนิยม ผู้มีเงินเท่านั้นสามารถใช้เงินซื้อชีวิตได้ โดยการซื้อที่นั่งบนเรือที่ถูกออกแบบมาอย่างดีเพื่อป้องกันน้ำท่วมและแผ่นดินไหว เพื่อการได้มีชีวิตอยู่หลังโลกแตกสลายเพื่อสร้างเผ่าพันธุ์คนมีเงิน ตรงกันข้ามกับคนเชื่อของคนที่ยึดมั่นในศาสนา ที่เชื่อว่า การทำความดี จะทำให้ปลอดภัยจากภัยพิบัติและการลงโทษในโลกใหม่
สิ่งที่มีการนำมาวิเคราะห์ เรื่องโลกแตก เป็นข้อมูลที่รวบรวมมาอย่างรอบด้าน ประกอบด้วย
1.ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ที่ระบุ โดยองค์การนาซ่า NASA ของสหรัฐอเมริกา ทางวิทยาศาสตร์ว่าสนามแม่เหล็กโลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สลับขั้วเหนือใต้ ส่งผลให้น้ำแข็งขั้วโลกเหนือจะละลายหมดสิ้นและ น้ำจะท่วมโลก
2.ข้อมูลทางโหราศาสตร์ บ่งบอกว่า จะเกิดการเรียงตัวกันของดาวนพเคราะห์กับโล และดวงอาทิตย์ ทำให้การภัยพิบัติ การทำนายของนอสตราดามุส และการทำนายของเผ่ามายันว่า โลกจะสิ้นสุดในวันที่ 21 ธันวาคม 2012
3.ข้อมูลทางโบราณคดี ชาวมายามีปฏิทินถึงปี 2012 เท่านั้น ทำให้วิเคราะห์กันว่า ถึงวันสิ้นสุดของโลก
4. ข้อมูลทางดาราศาสตร์ ที่ระบุว่า ดวงฤกษ์ดวงหนึ่ง ที่เพิ่งค้นพบใหม่ จะโคจรพุ่งชนโลก ในปี 2012
5. ข้อมูลจากบรรดาศาสนาาสำคัญของโลก ระบุเหมือนกันว่า โลกจะต้องถึงกาลวิบัติ
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลด้านอื่นๆ อาทิ ผู้ที่ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้อ้างว่ามนุษย์ต่างดาวบอกถึงวันโลกแตก ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่อาจนำมาวิเคราะห์ได้
ดาวเรียงตักัน ตามข้อมูลวิทยาศาสตร์
ข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์
การพลิกกลับขั้วของแกนแม่เหล็กโลก เป็นกระบวนการที่ขั้วทิศเหนือและขั้วทิศใต้กลับตำแหน่งกัน ทำให้สนามแม่เหล็กโลกจะลดลงเกือบจะถึงศูนย์เกาซ์ ซึ่งได้มีการจำลองแบบทางคอมพิวเตอร์ ของนักวิทยาศาสตร์ พบว่า โลกและดวงอาทิตย์มีความเกี่ยวข้องกันและสัมพันธ์กัน โดยจะแลกเปลี่ยนพลังงานและใช้จนหมดกระบวนการหนึ่ง จนเกิดกระบวนการของการพลิกกลับขั้วเกิดขึ้น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อน เมื่อสัตว์จำพวกไดโนเสาร์ที่สาบสูญไปในช่วงเวลานั้น
การสลับขั้วแม้เหล็กโลก จะเกิดผล คือ ระบบอิเล็กโทรนิคส์จะทำงานผิดปกติ (ระบบขีปนาวุธ ,computer),มีการอพยพของฝูงสัตว์ เช่น นก หรือปลาวาฬ ทำให้สูญเสียทิศทาง,ระบบภูมิคุ้มกันโรคในสัตว์และมนุษย์อ่อนแอลง,ทำให้ภูเขาไฟเพิ่มขึ้น, เกิดการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก แผ่นดินไหว และแผ่นดินถล่ม,สนามแม่แหล็กโลก (Magnetosphere) จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณถึงระดับอันตราย ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมา,กลุ่มวัตถุในอวกาศที่มีเส้นผ่านมากมายจะเฉียดเข้าใกล้โลกได้ง่ายขึ้นและแรงดึงดูดของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ผลการทดลอง ยังระบุว่า จะส่งผลให้น้ำแข็งในขั้วโลกเหนือละลาย เกิดน้ำท่วมโลก รวมทั้งซูเปอร์โวลคาโน หรือภูเขาไฟใต้น้ำ ครบกำหนดเวลา 7.4 หมื่นปีที่จะทำงานหรือระเบิดตัวเอง โดยสัญญาณเตือนภัยครั้งล่าสุด คือโศกนาฏกรรมคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อปี 2004 เป็นปรากฏการณ์ ที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับคนทั้งโลกมาแล้ว สิ่งนี้ถูกมองว่า เป็นสัญญาณที่ถูกส่งออกมาว่า จะเกิดมหันตภัยใหญ่เกิดขึ้นตามมา
วิเคราะห์
สิ่งที่ต้องพูดถึงก็คือ รายงานที่อ้างว่า NASA จัดทำรายงานมานั้น เป็นเพียงลำบอกเล่าของคนในนาซ่า ในเมืองไทยก็อ้างว่า นักวิทยาศาสตร์ไทย ที่ทำงานในนาซ่า แต่ยังไม่มีการแถลงอย่างจริงจัง ซึ่งหากเป็นมีเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ คงมีการดำเนินการอะไรมานานหลายปีแล้ว และผลการทดลองทางคอวพิวเตอร์ เป็นการทดลองส่วนตัวของบริษัทแห่งในอเมริกาเท่านั้น ให้ย้อนกลับไปดู ปรากฏการณ์ Y2K หรือการสิ้นสุดของวันที่ในคอมพิวเตอร์รุ่นเก่า เมื่อตอนเราก้าวเข้าสู่ศตวรรษใหม่ ทั่วทั้งโลกตื่นตระหนกกับปรากฏการณ์นี้ สุดท้าย กลายเป็นแค่เรื่องหลอกชาวโลกเพื่อขายคอมพิวเตอร์เท่านั้นเอง
สำหรับทฤษฎีน้ำท่วมโลก เป็นทฤษฎีที่ถูกนำมาใช้กับทฤษฎีโลกร้อนอย่างแพร่หลายว่า ได้ส่งผลให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย น้ำในทะเลจะสูงขึ้น แล้วท่วมบ่าไปยังพื้นที่ต่างๆทั่วโลก รวมทั้งประเทศจะเหลือภาคกลางตอนเหนือ ภาคอีสานและภาคเหนือเท่านั้น กรณีโลกร้อน อาจจะอันตราย แต่สิ่งที่อันตรายกว่า คือ ปัญหาโลกรั่ว อันเกิดจากชั้นบรรยากาศถูกปกคลุมโดยก๊าซมลพิษทั้งหลาย จนไม่อาจยับยั้งรังสียูวีได้เลย จะส่งผลกระทบต่อโลกอย่างรุนแรงอย่างไม่อาจคาดการณ์ได้ ซึ่งระดับความหนาแน่นของก๊าซพิษในชั่นบรรยากาศอยู่ในระดับ 232 MMP แต่ระดับที่ชั้นบรรยากาศของโลกไม่อาจรับได้อยู่ที่ระดับ 264 MMP ซึ่งตามข้อมูลพบว่า อัตราการเพิ่มขึ้นของก๊าซพิษ เพิ่มปีละ 2 MMP นั่นหมายถึงอีก 32 ปี ก๊าซพิษก็จะเต็มอยู่ในชั้นบรรยากาศ จนไม่อาจปกป้องโลกและสิ่งที่อยู่บนโลก สิ่งนี้น่ากลัวกว่า ทฤษฎีโลกแตก 2555 แต่ต้องรออีก 32 ปี
ข้อมูลด้านดาราศาสตร์
มีการค้นพบ ดาว นิบิรุ ดาวฤกษ์ดวงหนึ่งที่อยู่ใกล้กับระบบสุริยจักรวาล ดาวดวงนี้กำลังโคจรเข้าใกล้โลกในอีก 2 ปีข้างหน้า และอาจจะพุงชนโลกได้ ในอดีตสันนิษฐานว่า เคยโคจรเข้ามาใกล้ทีนึงแล้วในเมื่อหลายแสนปีก่อน แต่ไม่รู้ว่า เกิดผลกระทบอะไรบ้าง แต่บางทฤษฎีบอกว่า เป็นต้นเหตุของการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ ดาวนี้จะเข้าใกล้โลกในปี 2555 จนสามารถมองเห็นเหมือนดวงอาทิตย์
ผลของการเข้าใกล้โลกของดาวนิบิรุนั้น ด้วยแกนของดาวมีสนามแม่เหล็กอยู่ อาจจะทำให้เกิดสภาพอากาศแปรปรวน เกิดภัยพิบัติธรรมชาติเกิดภาวะน้ำขึ้นกระทันหัน เกิดพายุต่างๆ และเค้าคาดการณ์ไว้แล้วว่า ปีวันที่ 21 ธันวาคม 2012 เราสามารจะเห็นดาวนิบิรุ ใหญ่ขนาดดวงอาทิตย์ได้เลย เพราะมันเข้าใกล้เรามากแล้ว
วิเคราะห์
มีนักวิทยาศาสตร์อีกฝ่ายหนึ่งออกมาโต้เถียงในทฤษฎีนี้ ด้วยเห็นว่า หากดาวนิบิรุ มีพลังงานมากมาย การเคลื่อนที่ของมันต่อโลกย่อมมีผลกระทบตั้งแต่ระยะไกล ตอนนี้ เหลือเวลาอีก 2 ปีที่ดาวนี้จะเข้าใลกมากที่สุด มันจะต้องส่งพลังออกมากระทบต่อโลกแล้ว แต่กลับไม่มีสิ่งนี้กระทบต่อโลก สมมุติว่า ดาวเดินทางด้วยความเร็ว 1Km/วินาที ดาวจะอยู่ห่างจากโลกเวลา 2 ปี ประมาณ 1.8921E13 Km ซึ่งไกลมากแต่ว่า พลังงาน จากคลื่นแม่เหล็ก เดินทางมาถึงโลกแล้วพอดี แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เกิดอะไรขึ้น
ปฏิทินของเผ่ามายา
ข้อมูลด้านโหราศาสตร์และโบราณคดี
ข้อมูลด้านนี้แน่นอนว่า ต้องเกี่ยวข้องกับปฏิทินของเผ่ามายาที่มีสิ้นสุดในปฏิทิน ในวันที่ 21 ธันวาคม 2555 เผ่ามายา อาศัยอยู่แถวอเมริกากลาง ปัจจุบันเป็นเผ่าที่มีความเจริญด้านวิทยาศาสตร์ สามารถคำนวณปฏิทินแบบสุริยคติมาเป็น 1,000 ปีแล้ว
ชาวมายาวัดขนาดของเวลาจากเล็กไปสู่ใหญ่ จากวินาทีเป็นนาที ชั่วโมง วัน เดือน ฯลฯ เหมือนระบบวัดในปัจจุบัน โดยปฏิทินเกรเกอเรียน ในปัจจุบัน คำนวณเวลา 365 วัน ที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ถัดจากปีเราใช้เลขฐาน 10 นั่นคือ 10 ปีต่อ 1 ทศวรรษ, 10 ทศวรรษต่อ 1 ศตวรรษ, 10 ศตวรรษต่อ 1 สหัสวรรษ แตกต่างจากปฏิทินของเผ่ามายา ที่คิดค่าของเลข 20 เป็นหลัก 1 คิน จะมีแทน 1 วัน หรือโลกหมุนรอบครบ 1 รอบ อุยนัลแทนค่า 1 เดือนประกอบด้วย 20 คิน 1 ปี เท่ากับ 18 อุยนัลหรือ 360 คิน 1 คาทันจะมีความยาวประมาณ 19.5 ปี สำหรับ 1 แบ็กทันจะยาว 20 คาทันหรือประมาณ 394.5 ปี
สรุปคือ คิน = 1 วัน ,อุยนัล = 20 คิน,ทัน = 360 คิน,คาทัน = 20 ทัน (7200 คิน),แบ็กทัน = 20 คาทัน (144000 คิน)
น่าสนใจตรงที่ ชาวมายาได้เริ่มบันทึกปีแรก ประมาณ 3116 ปีก่อน ค.ศ. วงจรนี้จะกินเวลา 1 แบ็กทันของพวกเขาหรือ 5,129 ปี และจุดสิ้นสุดของปฏิทิน อยู่ที่ แบ็กทันที่ 13 จึงจะอยู่ที่ ค.ศ. 2012 วงรอบใหญ่ของปฏิทินมายา ระบุไว้ดังนี้
1. 3116-2734 BC จุดเริ่มต้น,2. 2734-2339 BC ยุคปิระมิด,3.2339-1944 BC ยุคล้อ,4. 1944-1550 BC อารยธรรมอียิปต์,
5.1550-1155 BC อารยธรรมบ้านเชียง,6. 1155 – 761 BC สงครามม้า,7. 761-366 BC ยุคปรัชญา,8. 366 BC – ค.ศ. 28 ยุคเมสไซอาห์,
9. ค.ศ. 28-422 อาณาจักรโรมัน,10. ค.ศ. 422-817 มายา,11. ค.ศ. 817-1211 สงครามครูเสด,12. ค.ศ. 1211-1606 ยุคล่าอาณานิคม,13. 1607-2012~ ยุคอุตสาหกรรมใหม่
ตามที่ระบุมาเท่ากับว่า เรามาถึงยุดสุดท้ายตามปฏิทิน จึงคาดการณ์กันว่า เป็นยุคสุดท้ายของมนุษยชาติ
การถอดความอักษรมายาโบราณ
วิเคราะห์
ปฏิทินแรกของคนมายา เริ่มต้น เมื่อ 3,116 ปีก่อนคริสตศักราชเท่านั้น ซึ่งตามข้อมูลทางวิทยาศาสตร์โบราณคดี รับทราบกันชัดเจนว่า โลกกำเนิดมาเป็นเวลาหลายล้านปีแล้ว ในขณะที่กำเนิดมนุษย์ แม้ไม่สามารถบอกวันเดือนปีที่ชัดเจนได้ แต่ประมาณว่า มนุษย์ก่อกำเนิดมาประมาณ 20,000-30,000 ปี แล้ว ดังนั้น เริ่มต้นของปฏิทินมายา จึงไม่ใช่จุดเริ่มต้นของมนุษยชาติ สรุปได้ง่ายๆก็ย่อมไม่ใช่จุดสิ้นสุดของมนุษยชาติเช่นเดียวกัน
ชนเผ่ามายานั้น สูญหายจากจากโลกนี้ประมาณ 1,000 ปีแล้ว หลักฐานระบุว่า อาจสูญสลายไปเพราะโรคระบาด การขาดอาหารอันเกิดจากความแห้งแล้วยาวนาน หรือสงคราม เป็นพิสูจน์ให้เห็นว่า ชนเผ่ามายาไม่ได้เป็นชนเผ่าที่หยั่งรู้ฟ้าดิน จนสามารถทำนายอนาคตได้แต่อย่างใด ถ้าหากสามารถทำนานอนาคตได้ คงไม่ปล่อยให้เผ่าพันธุ์ต้องสูญสลายไป ความสามารถทางการคำนวณเป็นความสามารถที่ชนเผ่าไหนก็สามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ ไม่เฉพาะชนเผ่ามายาเท่านั้น ดังนั้น ความสามารถในการคำนวณจึงเป็นคนละเรื่องกับการหยั่งรู้ฟ้าดิน
มีสร้างนิยายขึ้นมาว่า บรรพบุรุษของคนเผ่ามายาเป็นมนุษย์ต่างดาวมาจากนอกโลก ซึ่งข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่มีการรวบรวมกันหลายปียังไม่อาจยืนยันได้ถึงการเข้ามาของมนุษย์ต่างดาวบนโลกมนุษย์ แม้ว่า จะมีการศึกษาเรื่องนี้มานาน และมนุษย์บางคนประกาศว่า ตัวเองสามารถติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้ แต่คนเชื่อในเรื่องนี้น้อยมาก
ก่อนไปถึงข้อมูลของบรรดาศาสดา ไปดูข้อมูลจากแหลงอื่นก่อน นายGordon-Michael Scallion ถูกระบุว่า เป็นผู้หยั่งรู้อนาคต (futurist) มีญาณทัศนะ(Spiritual Visionary) คือมองเห็นอนาคตด้วยญาณ มีความแม่นยำมาก เขาได้ทำนายว่า น้ำกำลังจะท่วมโลก จนหลายประเทศหายไปจากแผนที่ ประเทศที่เป็นเกาะจะจมน้ำทั้งหมด ประชากรโลกที่รอดตายมีเพียง 10% เท่านั้น เขาเชื่อว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในระหว่างปี 1998-2012 (พ.ศ.2541-พ.ศ.2555) และเขาได้สร้างแผนที่โลกใหม่หลังน้ำท่วมครั้งใหญ่ ภายใต้ชื่อ Future Map Of The World ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1978 (พ.ศ. 2521) ซึ่งประเทศไทยเหลือแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
“หลวงปู่สรวง ออยเตียนสรูล” กล่าวไว้ว่า พ.ศ. 2550 ถึง 2555 หางนาคกวาดน้ำให้โลกมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว กำลังจะกวาดน้ำขึ้นมาล้างโลก จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ คนไม่ดีไม่มีศีลธรรม จะล้มตายมาก ส่วนคนดีมีศีลธรรม จะอยู่รอดปลอดภัยได้ 2 กรณีนี้ ความน่าเชื่อถือมีมากน้อยเพียงใด ไม่อาจบอกได้ แต่กรณีน้ำท่วมโลก ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับวันสิ้นโลกในปี 2555 แต่น่าจะเกี่ยวกับัญหาโลกร้อนมากกว่าหากมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น
นอสตราดามุส นักทำนายชาวฝรั่ง ซึ่งมีการอ้างอิงกันว่า มีการทำนายตรงกับเหตุการณ์สำคัญๆของโลก ได้ทำนายว่า ดวงอาทิตย์เข้ารัศมี 20 องศาของเดือนพฤษก จะเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงครั้งใหญ่ โรงละครแออัดด้วยผู้คนจะพังทลาย บรรยากาศ ท้องฟ้า และโลกจะถูกบดบังจนมืดมิด คนท่ำไม่เชื่อในศาสนา จะพร่ำเรียกหาพระเจ้าและนักบุญ
เขาระบุว่า นับตั้งแต่การปรากฏตัวของดาวหางฮัลเลย์ เมื่อปี 1986 เป็นต้นมา โลกจะเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงและเกิดถี่ขึ้น รวมถึงจะเกิดโรคระบาดรุนแรง แต่นอสตราดามุส ได้ระบุไว้ว่า ประมาณปี 3755-3795 จะมีดาวอุกาบาตปลิวว่อนจากอวกาศมาปะทะกับโลก ภัยธรรมชาติจะเกิดขึ้น และมนุษย์จะไม่สามารถอาศัยอยู่บนโลกนี้ได้อีกต่อไป
นั่นหมายถึงว่า นอสตราดามุส ไม่ได้มองว่า โลกจะล่มสลายในปี 2555 ตามที่มีการตื่นกลัวกัน เพียงแต่จะเกิดเหตุเภทภัยและโรคระบาดที่รุนแรงขึ้นเท้านั้น
ศาสดาพยากรณ์
ภัยพิบัติและโลกาวินาศ
ปรากฎการณ์ที่นอสตราดามุสทำนายไว้ สอดคล้องกับ พุทธทำนาย ซึ่งแปลจากศิลาจารึกในมหาวิหารเจตมหาเชตุวันสาธุ พระพุทธเจ้า ได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า เมื่อพระองค์เข้านิพพานแล้วครบ 5,000 ปีเป็นที่สุด โลกจะหมุนเข้าใกล้จำนวนที่ตถาคตทำนายไว้
หลัง 2500 ปีมนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติเสียหนึ่งในระยะ 30 ปี สิ่งที่คนไม่เคยเจอะจะได้เห็น ไม่เคยพบจะได้พบ ยักษ์หินที่ถูกสาบให้หลับกลับตื่นขึ้นมาอาละวาดยิ่งนัก ใกล้กับ พ.ศ. 2550 ยิ่งทวีกันใหญ่ขึ้นทุกทิวาราตรี คนต่างศาสนาจะรบราฆ่าฟันกันจนถึงเลือดตนเองนองเต็มพื้นดิน พื้นน้ำจะลุกลามเผามนุษย์ไม่ขาดระยะ ต่างฝ่ายต่างทำลาย เหมือนยักษ์ กระหายเลือด แผ่นดินจะลุกเป็นเปลวไฟ ต่างฝ่ายจะตายไปอย่างละครึ่งหนึ่ง จึงจะล้มเลิก ส่วนพุทธศาสนิกชน ผู้ทำแต่บุญเดินตามทางตถาคตสามารถระงับ ร้อนไม่รุนแรง แต่หนีภัยพิบัติไม่พ้น ไฟจะลุกลามทางทิศตะวันออกไหม้วัดวาอาราม สมณะชีพราหมณ์จะอดอยากยากเข็ญ ลูกไฟจะตกจากฟ้าเหล็กกล้าจะผุดจากน้ำ สงครามจะเกิดทั่วทิศ ทหารจะเป็นเจ้า ข้าวสารจะขาดแคลน ทุกแคว้นจะอดอยาก พลูหมากจะหมดเปลือง สีเหลืองจะชนะ สีขาวจะแพ้ภัยในที่สุด ครุฑจะบินกลับฐาน
พุทธทำนาย คล้ายๆกับนอสตราดามุส ที่ระบุว่า หลังปี 2500 จะเกิดภัยพิบัติขึ้นมากมายและการฆ่าฟันกันจนเลือดนอง แต่ไม่ได้ระบุว่า โลกจะถึงกาลอวสาน
ส่วนศาสนาที่เชื่อในพระเจ้า ศาสนาคริสต์และอิสลาม ความจริงศาสนาทั้ง 2 มีความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวกัน และมีรากเหง้าเดียวกันที่สืบทอดมาจากอาดัม และศาสดาอีก 24 องค์ อาทิ โนอาร์(นั๊วะ) โมเสส(มูซา) พระเยซู และนบีมูฮัมหมัด(ซ.ล.) เป็นศาสดาองค์สุดท้าย ซึ่งในอิสลามได้ระบุถึงการกลับมาของพระเยซูก่อนที่โลกจะแตกดับไป
คริสต์และอิสลาม เชื่อในพระเจ้าองค์เดียวกัน เพียงแต่เรียกชื่อต่างกัน ความเชื่อหลักอย่างหนึ่งในศาสนาทั้ง 2 คือ เมื่อถึงเวลาหนึ่ง โลกนี่จะถึงกาลแตกดับ ดเวยอำนาจของพระเจ้าและมนุษย์ทุกคน ที่ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อพิพากษาความดีความชั่ว
ไบเบิล:ไฟประลัยกัลป์วันสิ้นโลก
พระคัมภีร์ไบเบิล เผยวจนะขององค์พระเยซู ในพระธรรมมัทธิวบทที่ 24 ข้อ : และข้อ 29 (ลูกา บทที่ 21:10 และข้อ 25) ว่า หลังจากเกิดกลียุควันแห่งความยุ่งยากผ่านพ้นไปแล้ว จะมาถึงยุคของแผ่นดินโลกใหม่ โลกที่มาความชอบธรรมสามารถดำรงอยู่ได้ แต่ก่อนจะถึงวันนั้น ทั่วโลกจะเกิดกลียุค มนุษย์จะได้ยินเสียงสงคราม จะได้รับข่าวลือของสงคราม จะได้ยินเสียงกึกก้องของทะเลและคลื่น ประชาชาติต่อประชาชาติ อาณาจักรกับอาณาจักรจะต่อสู้กัน จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่และเกิดกันดารอาหาร เกิดโรคภัยต่าง ๆ จะมีความวิบัติอันน่ากลัว จะปรากฏความหมายสำคัญบนท้องฟ้า
ดวงอาทิตย์มืดไป ดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง ดวงดาวทั้งปวงจะตกจากฟ้า สิ่งมีอำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้าน มนุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะตีอกร้องไห้…แล้วจะเกิดไฟประลัยกัลป์
ไบเบิล ได้บรรยายความน่ากลัว ในวันแตกดับไว้ในพระธรรม 2 เปโตร 3:7 ว่า และโดยวจนะเดียวกันนั้นเอง ท้องฟ้าและแผ่นดินที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ ก็มีไว้สำหรับไฟเผาผลาญ คือเก็บไว้จนกว่าจะถึงวันพิพากษาและวันพินาศแห่งบรรดาทุรชน…
และใน 2 เปโตร 3:12-13 ระบุว่า วันนั้นท้องฟ้าจะถูกไฟเผาผลาญสลายไป และโลกธาตุก็จะถูกไฟเผาให้สลายไป แต่ว่าตามพระสัญญาของพระองค์นั้น เราจึงคอยท้องฟ้าอากาศใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ ที่ซึ่งความชอบธรรมจะดำรงอยู่..
อย่างไรก็ตาม ในพระคัมภีร์ไบเบิล ได้บอกถึง สถานการณ์ที่โลกแตกดับ แต่ไม่ได้ระบุวันเวลาที่ชัดเจนไว้ว่า เป็นเมื่อไหร่อย่างไร
สัญญาณวันสิ้นโลก
ในอิสลาม กุรอ่าน และดำรัสของศาสดา ดูเหมือนจะให้รายละเอียดของัวนแตกดับของโลกมากกว่าในไบเบิล แม้ไม่ได้ ระบุชัดเจนถึงวันเวลา แห่งการแตกดับ แต่ได้บอกว่า มีสัญญาณอะไรเกิดขึ้นบ้างก่อนที่โลกจะแตกดับ ทั้งสัญญาณใหญ่สัญญาณเล็ก
ในสัญญาณนั้น ศาสดา กล่าวว่า ชั่วโมงนั้น(วันสิ้นโลก)จะไม่เกิดขึ้นจนกว่า คนสองกลุ่มจะต่อสู้กันจนบาดเจ็บและล้มตายจำนวนมากและพวกเขาจะปฏิบัติตามหลักศาสนาเดียวกัน,ดัจญาล(จอมหลอกลวง) จะปรากฏขึ้น 30 คน พวกมันจะอ้างว่า เป็นศาสดาที่พระเจ้าส่งมา,ความรู้ทางศาสนาจะหมดไป,แผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง,เวลาจะผ่านไปรวดเร็ว,ความทุกข์ยากเดือดร้อนจะเกิดขึ้น,การฆ่ากันจะมากขึ้น,คนมีทรัพย์สินมีความมั่งคั่งมาก จนไม่มีใครรับบริจาค, ผู้คนแข่งขันกันสร้างตึกสูง,เมื่อคนเดินผ่านหลุมฝังศพ จะพูดว่า ฉันอยากไปอยู่ในที่ของเขาเหลือเกิน และสุดท้ายดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก
ก่อนวันสิ้นโลก จะมีผู้นำทางจิตวิญญาณและผู้นำการปกครองคนหนึ่งปรากฎตัวขึ้น ชื่อ มะห์ดี อายุ 40 ปี เขาได้รับการร้องขอจากประชาชนให้เป็นผู้นำต่อสู้กับฝ่ายอธรรมที่โหดร้าย กองทัพของเขาจะมีคน 7.5 แสนคน ต่อสู้กับศัตรู เป็นเวลา 7 ปี ความสงบสุข ความเท่าเทียมกัน ความรัก ความสามัคคีกัน ได้กลับมาอีกครั้ง
หลังจากนั้น ดัจญาล ได้ปรากฎตัวขึ้น ดัจญาล เป็นตัวแทนของพลังเหนือธรรมชาติที่ต่อต้านคำสอนของพระเจ้า ดัจญาณปรากฎให้เห็นในรูปของมนุษย์ มีตาเดียว อ้างตัวเป็นศาสนทูต มีอำนาจเหนือพระเจ้าที่มนุษย์ต้องสยบยอมเป็นทาสมัน เป้าหมายของมันคือหลอกลวงผู้ที่ศรัทธาในพระเจ้าทั้งยิว คริสต์และอิสลาม ให้หันเหออกจากพระเจ้า การปรากฏตัวของสร้างความน่าสะพึงกลัวไปทั่วโลก ผู้คนปั่นป่วน ความสิ้นหวัง และความหวาดกลัว โลกเต็มไปด้วยความตายและการทำลายล้าง
พระเยซูปรากฏกายอีกครั้ง
ดัจญาล ได้สร้างความเสียหายได้ระยะหนึ่ง กุรอ่าน ระบุว่า พระเยซู หรือนบีอีซา ได้ลงมาจากฟากฟ้า ใบหน้าของท่านจะเปล่งประกายรัศมีแห่งความสันติและความสงบ และปกครองด้วยความเป็นธรรม สร้างความมั่งคั่งและความยุติธรรมแก่มนุษยชาติทั้งมวล พระองค์ต่อสู้กับดัจญาลและฆ่าดัจญาลตาย
สิ้นสงครามดับดัจญาล โลกเข้าสู่ความสงบ แต่ความชั่วร้ายได้เกิดขึ้นอีก ญะญูจญ์และมะญูจญ์ ปรากฏตัว พวกมันปล้นทำลายแผ่นดินจนไม่มีพิชผัก สัตว์หรือมนุษย์ มีชีวิตอยู่ในเส้นทางที่มันผ่าน แต่ที่สุดมันก็ตายด้วยเชื้อโรคร้าย กลายเป็นสาเหตุของโรคร้ายแพร่กระจายไปทั่ว ผู้คนล้มตายเหมือนใบไม้ร่วง พระเยซูได้ขอพรจากพระเจ้า ความสันติสุขกลับคืนมา 40 ปีหลังจากนั้น พระองค์ก็เสียชีวิต
การสิ้นชีวิตของพระเยซ นำมาสู่วันสิ้นโลก เมื่อผู้นำปกครองด้วยความโง่เง่า ขาดความอยุติธรรม นำไปสู่ความเสื่อมทรามทางศีลธรรมและความเสียหาย พระผู้เป็นเจ้าให้มีหมอกหนาปกคลุมโลกเป็นเวลา 40 วัน และหมอกได้ทิ้งโรคประหลาดไว้กับคนเลวและคนละเมิดศีลธรรม จากนั้น ดวงอาทิตย์จะไม่ขึ้นเป็นเวลา 3 วัน และระยะเวลากลางคืนยาวนาน ผู้คนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว วันที่ 4 ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นมาทางทิศตะวันตก สร้างความอกสั่นขวัญแขวนแก่มนุษย์ จากนั้นได้มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้น มีสัตว์ประหลาดปรากฏตัว สร้างความสว่างแก่ผู้ศรัทธา เมื่อมันหายไป ก้มีลมเย็นพัดมาจากทางเหนือ ทำให้ผู้ศรัทาเสียชีวิตด้วยความสงบ โลกจะเหลือแต่ผู้ปฏิเสธ อัลกะบะอ์ถูกทำลาย เป็นเวลาแห่งความทารุณโหดร้าย มนุษย์ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดทางจิตวิตวิญญาณ และวันสิ้นโลกก็มาถึงอย่างแท้จริง
สังข์ถูกเป่าสู่วาระสุดท้ายของโลกและมนุษย์
วาระสุดท้ายของโลกสังข์ได้ถูกเป่า เสียงของมันดังกังวาลจนทุกสิ่งแยกออก ภูเขาจะปลิวว่อน ตามที่กุรอ่าน 27:86-90 ระบุไว้ว่า
“วันที่สังข์ถูกเป่าและผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าและแผ่นดินจะตื่นตระหนก นอกจากผู้ที่อัลเลาะฮฺ ทรงประสงค์ และทั้งหมดจะมาหาพระองค์ในสภาพถ่อมตน และสูเจ้าจะได้เห็นภูเขาที่เจ้าคิดว่า มันมั่นคงจะปลิวว่อนเหมือนการล่องลอยของเมฆ นั่นคือการกระทำของอัลเลาะฮฺ ผู้ทรงทำให้ทุกสรรพสิ่งสมบูรณ์ แท้จริง พระองค์รู้ถึงสิ่งที่สูเจ้ากระทำ ใครก็ตามที่นำความดีมาก็จพได้รับความดีมากกว่านั้น และในวันนั้นพวกเขาปลอดภัยจากการตื่นตระหนก และผู้ใดนำความชั่วมา เขาจะได้รับการตอบแทนตามที่ได้กระทำไว้”
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 3197 ครั้ง