นายกฯปัดครม.อนุมัติงบประมาณแสนล้าน ทิ้งทวนก่อนยุบสภา ระบุงบส่วนใหญ่ที่อนุมัตินงบช่วยภัยพิบัติ-ชายแดน บางส่วนเป็นงบผูกพันโครงการเดิม
วันที่ 5 พ.ค.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันว่าการประชุมครม.ไม่ได้เห็นชอบงบระมาณนับแสนล้าน เป็นเพียงหลักหมื่นล้านเท่านั้น โดยงบประมาณที่อนุมัติส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่อยู่ในแผนเดิมส่วนมากเป็นเรื่องเงินเดือนค่าตอบแทนครูและแพทย์พยาบาล หากไม่ดำเนินการขณะนี้ อีก 2 เดือนก็ต้องอนุมัติ เพราะเป็นค่าตอบแทนที่ต้องทำดังนั้น ในส่วนของกระทรวงกลาโหมที่อนุมัติเป็นเรื่องเก่ายกเว้นปัญหาชายแดน
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องงบประมาณการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ภัยแล้งที่ต้องเร่งอนุมัติ ถ้าไม่อนุมัติในการประชุมครม.ครั้งนี้ ต้องรอไปอีก 3 เดือน หรือหากประกาศยุบสภาแล้ว การขออนุมัติงบประมาณต้องขออนุญาตคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. มิฉะนั้นจะถูกมองว่า หาเสียงมากกว่า
ส่วนการยุบสภานั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ ยังไม่ได้ยื่นพระราชกฤษฎีกาเพื่อยุบสภา โดยจะทำหนังสือสอบถามไปยังสำนักราชเลขาธิการ ถึงความคืบหน้าอาการพระประชวรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหลังคณะแพทย์ได้ทูลขอให้งดเว้นพระราชกิจ แต่ขณะนี้ ทราบว่า ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯแต่งตั้งประธานวุฒิสภาคนใหม่ลงมาแล้ว
อินโดฯส่งผู้สังเกตการณ์ต้องให้เขมรถอนกำลัง
นายอภิสิทธิ์ เปิดเผยว่า การส่งคณะผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซียมาบริเวณพื้นที่พิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา จะมีข้อกำหนดที่เป็นเอกสาร แต่ในถ้อยคำต่างไม่เป็นปัญหา ซึ่งทางกระทรวงการต่างประเทศได้หารือกับประเทศอินโดนีเซียมาก่อนหน้านี้ว่า การจะดำเนินการดังกล่าว ควรให้กัมพูชาถอนทหาร ประชาชน ออกจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เพราะถือว่าเป็นการละเมิดเอ็มโอยู ส่วนกัมพูชาจะยอมรับข้อเสนอหรือไม่ เป็นเรื่องที่ทางอินโดนีเซียต้องไปประสาน หากกัมพูชายังไม่มีการตอบรับก็จะยังไม่มีการลงนาม แต่เนื้อหาในทีโออาร์ไม่ได้เป็นปัญหา ทั้งนี้ จะนำเรื่องดังกล่าวไปพูดคุยในที่ประชุมอาเซียนหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับความคืบเนื้อหาของการพูดคุยระหว่างไทยกับอินโดนีเซีย และทางอินโดนีเซียกับกัมพูชา
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป้าหมายสุดท้ายคือการจะไม่ให้มีเหตุการณ์ปะทะกัน ซึ่งความจริงบริเวณที่จะมีผู้สังเกตการณ์เข้ามาก็ไม่ได้มีปัญหามา 2-3 เดือนแล้ว ยกเว้นในช่วงสั้นๆที่ตกใจเครื่องบินเท่านั้นเอง อย่างไรก็ตาม วันที่ 5พ.ค. นายกษิต ภิรมย์ รมว.การกระทรวงการต่างประเทศ จะมารายงานตน หลังจากที่ได้เดินทางกลับมาจากกรุงเฮก ทั้งนี้ ประเด็นที่จะนำไปชี้แจงกับรัฐมนตรีต่างประเทศในวงประชุมอาเซียน คงเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงว่า ไทยไม่ได้เป็นผู้สร้างปัญหา และก็สนับสนุนให้มีการแก้ปัญหาโดยสันติวิธี และในข้อเท็จจริงคงหนีไม่พ้นที่ 2 ฝ่ายต้องมาพูดคุยกัน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนการที่กัมพูชาขยายเรื่องดังกล่าวไปถึงศาลโลก จะยิ่งเป็นความชัดเจนให้นานาชาติเห็นภาพว่า การปะทะแต่ละครั้งเป็นความจงใจไม่ใช่อุบัติเหตุ ในแง่ของจังหวะเวลา เพื่อให้สอดคล้องกับการนำเรื่องไปสู่ระดับสากล นอกจากนี้ นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย เลขาธิการอาเซียน เคยเตือนว่าอย่าให้ไทยอย่ามองข้ามกรอบพหุภาคีนั้น ไทยก็ไม่ได้มีปัญหา ตอนที่เขาไปสหประชาชาติเราก็ไปชี้แจง ก็เป็นเรื่องที่ทำได้
“แต่ข้อเท็จจริงที่เราต้องทำความเข้าใจกัน คือเนื้อหาจริงๆที่เราตกลงกัน เป็นเรื่องของ 2 ฝ่าย ผมได้ถามว่าฝ่ายที่ 3 เขาจะทำอะไร จริงๆอินโดนีเซียเขาก็ยืนยันท่าทีอย่างนี้มาอย่างชัดเจน มีการเปรียบเทียบให้กระบวนการพูดคุยมันไปได้ เขาก็เปรียบเหมือนกับรถที่สตาร์ทไม่ติด จะมาช่วยเข็นให้มันสตาร์ทติด เขาก็ว่ากันไปในรถ อันนี้ก็เป็นแนวทางซึ่งเราก็เห็นว่าเหมาะสม หรือการส่งผู้สังเกตการณ์มาก็ไม่ได้มายุ่งเกี่ยวอะไรกับข้อพิพาท แต่ต้องการที่จะมาช่วยให้เป็นหลักประกันว่าจะไม่มีการปะทะกัน”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะมีการปะทะกันบริเวณชายแดนอีกหรือไม่ คงต้องประเมินดู เพราะว่ายังมีเรื่องของมรดกโลกและอื่นๆอีก ส่วนที่มีการเสนอให้ไม่ยอมรับหรือตัดอำนาจของศาลโลกไปเลยนั้น และคำชี้แจงของทุกฝ่ายก็ยืนยันว่าหากไทยไม่ไปต่อสู้คดี ก็ไม่มีผลทำให้ศาลพิจารณาคดีไม่ได้ เนื่องจากเป็นคดีเก่า และไทยไม่รับอำนาจศาลไม่ได้ แต่เนื่องจากเป็นการตีความคำพิพากษาเดิม ทุกคนจึงบอกว่าเป็นการผูกพัน ในฐานะที่ไทยเป็นสมาชิกสหประชาชาติอย่างไรก็ตาม ตนไม่ขอพูดในเนื้อหาสาระ เพราะไม่อยากให้กระทบรูปคดี แต่ว่ามีหลายแง่มุมที่ไทยต้องต่อสู้ ส่วนจะต้องไปปรึกษา ดร.สมปอง สุจริตกุล ผู้แทนไทยในคณะกรรมการที่ 6 (กฎหมาย) ตนก็ได้กำชับกระทรวงต่างประเทศว่า การปรึกษาหารือรับฟังความคิดเห็นของทุกคนที่มีความเห็นนั้น ขอให้ทำให้มากที่สุด แต่คงไม่จำเป็นต้องทำในลักษณะที่เป็นทางการ ตนคิดว่าก็คงดำเนินการ
“ผมอยากจะให้ทุกคนผนึกกำลังกัน และตนได้เคยเรียกร้องหลายครั้งว่า การตีความอะไรหลายอย่างที่ไปพูดกันระวังอย่าให้มันย้อนกลับมาทำลายตัวเรา ขอให้ยืนหยัดสิ่งที่เป็นการปกป้องประโยชน์ของประเทศ” นายกรัฐมนตรี กล่าว
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 1101 ครั้ง