ทั้งนี้ จากผลการสำรวจดังกล่าว พบว่า ประชาชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 26.36% เลือกพรรคเพื่อไทย รองลง 20.20% พรรคประชาธิปัตย์ โดยในภาคใต้ประชาชนยังคงนิยมพรรคประชาธิปัตย์มากที่สุด แต่ 52.87% ที่ยังไม่ตัดสินใจ และยังคงเป็นตัวแปรสำคัญสำหรับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
สำหรับ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อหรือปาร์ตี้ลิสต์ ประชาชน 35.41% จะเลือกพรรคเพื่อไทย, 24.69% เลือกพรรคประชาธิปัตย์, 3.33% พรรคภูมิใจไทย พรรคอื่นๆ เช่น พรรครักษ์สันติ พรรคมาตุภูมิ 0.33% ที่เหลือ 36.24% ไม่ทราบ/ไม่แน่ใจ
ส่วนความเห็นเกี่ยวกับรูปแบบการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง 43.1% เชื่อว่าจะเป็นรัฐบาลแบบพรรคผสม ขณะที่ 42.39% เชื่อว่าจะเป็นรัฐบาลพรรคเดียว 14.46% ไม่ทราบ/ไม่แน่ใจ
ผลสำรวจความนิยมของประชาชนที่มีต่อพรรคการเมืองหน้าใหม่ พบว่า พรรครักษ์สันติ 14.38%, พรรคการเมืองใหม่ 10.72%, พรรคมาตุภูมิ 8.73%, ไม่ทราบ/ไม่แน่ใจ 66.17% อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจพบว่าประชาชนส่วนใหญ่อีก 66.17% ไม่ทราบรายชื่อพรรคการเมืองหน้าใหม่ หรือไม่แน่ใจว่าจะได้รับความนิยมมากน้อยเพียงใด
นายทวีศักดิ์ สูทกวาทิน ประธานสภาคณาจารย์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และประธานที่ประชุมสภาอาจารย์แห่งประเทศไทย (ปอมท.) กล่าวถึงผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในครั้งนี้ว่า บ่งบอกถึงการตัดสินใจที่ชัดเจนของประชาชน และชี้ให้เห็นว่าประชาชนอยู่ในฐานเสียงของพรรคใดพรรคหนึ่งอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่น่าสนใจคือกลุ่มที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ ซึ่งมีอยู่ร้อยละ 52.87 กลุ่มนี้จะเป็นตัวแปรสำคัญสามารถชี้ขาดการเลือกตั้งครั้งนี้ได้ และในตัวเลขนี้อาจจะมีกลุ่มที่เป็น Vote No กับอีกกลุ่มที่เป็นพันธมิตรฯ ซึ่งเคยเป็นแนวร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์มาก่อน แต่ภายหลังตั้งเป็นพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งเชื่อว่าไม่น่าจะเป็นกลุ่มใหญ่ โดยในตัวเลข 52.87 นี้ มีโอกาสเทคะแนนเสียงไปให้พรรคเพื่อไทย หรืออาจจะเทไปให้พรรคประชาธิปัตย์ หรืออาจกระจายคะแนนไปยังพรรครักษ์สันติได้เช่นกัน
ส่วนรูปแบบการจัดตั้งรัฐบาลนั้น นายทวีศักดิ์ให้ทัศนะต่อไปว่า ในการเลือกตั้งคงเป็นไปไม่ได้ที่พรรคการเมืองใดจะได้รับความนิยมสูงจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลแบบพรรคเดียว แต่เชื่อว่าการจัดตั้งรัฐบาลสมัยหน้า น่าจะเป็นรัฐบาลผสม ส่วนจะเป็นพรรคเพื่อไทยหรือพรรคประชาธิปัตย์ เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ก็ขึ้นอยู่กับพรรคทางเลือกที่จะเลือกจับขั้วกับใคร
อย่างไรก็ตาม พรรคการเมืองหน้าใหม่ยังไม่ใช่พรรคทางเลือก เพราะประชาชนยังไม่รู้จัก และพรรคหน้าใหม่เองก็ยังไม่มีการลงพื้นที่หรือนำเสนอนโยบายอย่างชัดเจน ทำให้พรรคที่มีพื้นที่และฐานเสียงดีอยู่แล้วมีโอกาสมากกว่า แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าพรรคการเมืองหน้าใหม่จะสามารถทำให้ประชาชน 66.17% ซึ่งเป็นพลังเงียบรู้จักได้มากน้อยแค่ไหน และนโยบายรวมทั้งทีมงานมีความสามารถพอที่จะสร้างกระแสให้ประชาชนเลือกได้มากแค่ไหน แต่ถ้าไม่สามารถสร้างกระแสได้ 66.17% อาจจะเป็น Vote No หรืออาจจะเทคะแนนให้กับพรรคการเมืองเดิมก็เป็นได้ กลุ่มพลังเงียบจึงเป็นปัจจัยสำคัญของคะแนนการเลือกตั้งครั้งนี้
เอแบคโพลล์ เพอื่ไทยก็นำ
ด้านดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง เปรียบเทียบจุดแข็งของพรรคการเมืองใหญ่สองพรรค และความนิยมของสาธารณชนต่อพรรคการเมือง ถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง จำนวนทั้งสิ้น 2,143 ตัวอย่าง เมื่อระหว่างวันที่ 1-7 พ.ค.54
โดยบทสรุปที่ได้จากเอแบคโพลล์ พบว่าพรรคเพื่อไทยได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเหนือพรรคประชาธิปัตย์เกือบทุกตัวชี้วัด ยกเว้นเรื่องเดียว คือ ความโปร่งใส, ซื่อสัตย์สุจริต โดยพบว่าร้อยละ 51.6 ระบุความโปร่งใส ซื่อสัตย์สุจริต เป็นจุดแข็งของประชาธิปัตย์ ในขณะที่ร้อยละ 48.4 ระบุเป็นจุดแข็งของเพื่อไทย
ทว่า เมื่อพิจารณาตัวชี้วัดจุดแข็งด้านอื่นๆ พบว่า พรรคเพื่อไทยได้รับคะแนนทิ้งห่างพรรคประชาธิปัตย์อย่างมาก และมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยพบว่าด้านวิสัยทัศน์, แนวนโยบาย เพื่อไทยได้ร้อยละ 59.0 ประชาธิปัตย์ได้ร้อยละ 41.0 ด้านอุดมการณ์ประชาธิปไตย พรรคเพื่อไทยได้ร้อยละ 55.5 พรรคประชาธิปัตย์ได้ร้อยละ 44.5 ส่วนเรื่องการเข้าถึงประชาชน เพื่อไทยได้ร้อยละ 61.8 ประชาธิปัตย์ได้ร้อยละ 38.2 ด้านเศรษฐกิจ เพื่อไทยได้ร้อยละ 64.6 พรรคประชาธิปัตย์ได้ร้อยละ 35.4 ส่วนเรื่องการเป็นที่ยอมรับของประชาชน พรรคเพื่อไทยได้ร้อยละ 60.9 ประชาธิปัตย์ได้ร้อยละ 39.1
ในการสำรวจดังกล่าว มีการตั้งคำถามกับประชาชนว่าถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง ท่านจะเลือกพรรคการเมืองใดในบัญชีรายชื่อ พบว่า เสียงสนับสนุนของประชาชนที่ตั้งใจจะเลือก ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อจากพรรคประชาธิปัตย์ ลดลงจากร้อยละ 39.6 มาอยู่ที่ร้อยละ 34.1 ในขณะที่พรรคเพื่อไทยได้เสียงโหวตไม่แตกต่างจากการสำรวจครั้งก่อนเท่าใด คือร้อยละ 36.2 มาอยู่ที่ร้อยละ 36.4
“จึงส่งผลทำให้พรรคเพื่อไทยจะได้จำนวนที่นั่ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อมากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ ถ้ามีการเลือกตั้งในวันนี้” ผลสำรวจดังกล่าวระบุ
นายนพดลกล่าวว่า ถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง พรรคการเมืองใหญ่สองพรรคคือ พรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย ยังคงจะได้เสียงโหวตในสัดส่วนที่สูสีกัน โดยพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเสียงสนับสนุนลดลงในการสำรวจล่าสุด โดยส่วนหนึ่งอาจเกิดจากดัชนีตัวชี้วัดการทำงานของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ไม่ค่อยได้รับการสนับสนุนจากประชาชน
“เมื่อเสียงสนับสนุนของประชาชนต่อพรรคประชาธิปัตย์ตกลง พรรคเพื่อไทยจึงกลายเป็นพรรคที่มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลสูงกว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยสามารถทำให้สาธารณชนมั่นใจได้ว่า จะเป็นรัฐบาลที่โปร่งใส ประกาศสงครามกับปัญหาทุจริตคอรัปชั่น ก็น่าจะทำให้ความนิยมของสาธารณชนที่ตั้งใจจะเลือกพรรคเพื่อไทยเพิ่มสูงขึ้นไปอีกได้” ดร.นพดลกล่าว
วันเดียวกัน สวนดุสิตโพลก็เผยผลสำรวจเรื่อง “มุมมองของประชาชนต่อการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง” โดยผลสำรวจในเรื่องบทบาทของ กกต.นั้น ประชาชนส่วนใหญ่มองว่าอาจถูกการเมืองแทรกแซง แต่จะถูกจับตามองเรื่องการปฏิบัติหน้าที่จากหลายๆ ฝ่าย ส่วนการแจกใบเหลือง/ใบแดง ต้องอยู่บนความถูกต้องและเป็นธรรม
โดยสวนดุสิตโพลได้สอบถามความคิดเห็นดังกล่าวจากประชาชนทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,629 คน ระหว่างวันที่ 4-7 พ.ค.ที่ผ่านมา
ปชป.ยันได้เกิน 200 เสียง
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง รักษาการนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าโพลล์จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ก่อนสมัครรับเลือกตั้งหรือก่อนยุบสภาโพลล์ก็ต้องเป็นอย่างหนึ่ง เมื่อแต่ละฝ่ายลงไปทำงานในพื้นที่หาเสียงโพลล์ก็จะเป็นอีกอย่าง จนกว่าจะวันสุดท้ายตอนที่ไปลงคะแนนเสียงแล้ว แม้แต่เอ็กซิตโพลล์ก็ยังผิดได้ อย่าไปจริงจังมากมาย เอาไว้เป็นเครื่องประกอบการติดตามข่าวเพื่อดูให้มีรสชาติขึ้นก็ใช้ได้แล้ว
ถามว่า บางโพลล์ระบุว่าถ้าพรรคใดชนะเสียงข้างมาก พรรคนั้นควรจัดตั้งรัฐบาล โดยที่พรรครองลงมาไม่ควรจัดตั้งแข่ง นายสุเทพกล่าวว่า ระบบรัฐสภาของประเทศไทยที่เป็นอยู่ทุกวันนี้อยู่ที่ว่าใครจะรวบรวมเสียงในสภาได้มากที่สุด ถ้าใครรวบรวมเสียงได้เกินครึ่งสามารถตั้งรัฐบาลได้เขาก็มีสิทธิ์ที่จะทำ แต่ที่พูดไม่ได้หมายความว่าประชาธิปัตย์ได้ที่ 2 แล้วจะไปแย่ง เพราะประชาธิปัตย์มั่นใจว่าได้ที่ 1
“ทางพรรคทำโพลล์มาและมีการประเมินบ้าง แต่ที่ทำให้มั่นใจเพราะประชาชนทั้งประเทศได้เห็นพฤติกรรมของพรรคเพื่อไทย ของมวลชนที่พรรคเพื่อไทยระดมออกมา ประชาชนคงไม่ลืม เอาเป็นว่าประชาธิปัตย์ได้มากกว่า 200 เสียง และในส่วนของภาคอีสานเชื่อว่าจะได้ ส.ส.เขตเพิ่มจากเดิม จดไว้ได้เลย แปะข้างฝาไว้ได้เลย ส่วนจะเพิ่มเท่าไรไม่บอก แต่ขอให้แฟนๆ พรรคประชาธิปัตย์สบายใจ” นายสุเทพกล่าว
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 1172 ครั้ง