“สุเทพ เทือกสุบรรณ” กางโพลประกาศชัดเป้าหมายประชาธิปัตย์กวาดอย่างต่ำ 200 ที่นั่ง ลั่นใครรวมเสียงมากได้ตั้งรัฐบาล
ประกาศเสียงดังฟังชัดเป้าหมายอย่างต่ำ 200 เสียงของประชาธิปัตย์ เที่ยวนี้ “ของจริง” ไม่ได้โม้ ทุกอย่างมีข้อมูล ตัวเลข สถิติรองรับอย่างเป็นทางการ ต่างกับเป้า 270 เสียงของเพื่อไทย ที่ถูกรุมกระหน่ำว่าแค่จิตวิทยาปลุกใจลูกพรรค
สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ปลีกเวลา “วุ่น” อยู่กับการวางตัวผู้สมัครและจัดทำยุทธศาสตร์ มาอธิบายถึงที่มาที่ไปของเป้าหมาย สส.เที่ยวนี้ที่ยืนยันว่าไม่ใช่การ “เกทับบลัฟแหลก” พร้อมโชว์เอกสารสถิติที่จัดทำ “รายเขต” อย่างละเอียด
“ผมไม่ได้พูดลอยๆ ไม่ใช่สุเทพโพล ผมไม่อยากคุย ไม่อยากให้มาหัวเราะผม ผมรู้ว่าแต่ละจังหวัดของผมเป็นอย่างไร ดูตามข้อเท็จจริงบางอันก็ดี บางอันก็เป็นไปไม่ได้”
สส.บัญชีรายชื่อ 125 ประชาธิปัตย์กับเพื่อไทยจะได้มากกว่าพรรคอื่น เพราะเป็นพรรคใหญ่ธรรมดา คะแนนบัญชีรายชื่อวันนี้พรรคประชาธิปัตย์จะได้มากกว่าเพื่อไทย เช่น ประชาธิปัตย์อาจจะได้ 70 คน พรรคเพื่อไทยอาจจะได้สัก 50 คน เหลือ 4-5 คน ก็พรรคเล็กพรรคน้อย
สุเทพ ยกเหตุผลประกอบว่า ตัวเลขนี้มาจากคะแนนนิยมประชาธิปัตย์ที่เพิ่มขึ้น เพราะ “ผลงาน” และ “ศรัทธา” ในตัวอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะที่พรรคเพื่อไทยทำร้ายบ้านเมือง สส.ระบบเขต 375 คน คิดง่ายๆ ชาติไทยพัฒนา ภูมิใจไทย รวมชาติพัฒนา มาตุภูมิ ฯลฯ จะได้ประมาณ 60-75 ที่นั่ง เหลือแข่งกัน 2 พรรคใหญ่ 300 ที่นั่ง ประมาณคนละ 150 ที่นั่ง ดังนั้นเป้า 270 ที่นั่งของเพื่อไทยจึงเป็นไปได้ยาก และเชื่อว่าจะเป็นปฏิบัติการทางจิตวิทยา
“ประชาธิปัตย์วันนี้ ถ้าผมทำผู้แทนเขตเลือกตั้งได้ 150 คน ผมพอใจแล้ว เข้าเป้าแล้ว ซึ่ง 150 ไม่ไกลความจริงเลย ภาคใต้กับกรุงเทพฯ รวมแล้ว 80 เสียง กลาง อีสาน เหนือ ผมทำอีก 70 ไม่ใช่เรื่องยาก” สุเทพประเมิน
จำแนกรายพื้นที่ อีสานจากเดิม 5 ที่นั่ง น่าจะได้เพิ่มเป็น 14-15 คน โดยเฉพาะพื้นที่เป้าหมาย อุดรธานี ยโสธร อำนาจเจริญ และถ้าโชคดีอาจจะได้เพิ่มที่เลย หนองคาย
ภาคเหนือ ในจังหวัดที่มีผู้แทนเก่า มีฐานประชาชนเข้มแข็งจะรักษาได้ทุกที่นั่ง พิษณุโลก ตาก กำแพงเพชร สุโขทัย และเชื่อว่าเที่ยวนี้จะปักธงเพิ่มที่เชียงใหม่ ลำปาง พะเยา
ภาคกลาง พื้นที่ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร แน่นอยู่แล้ว เที่ยวนี้เราจะได้เพิ่มที่นครปฐม ซึ่งจะได้เพิ่ม 4-5 คน ส่วนสระบุรีที่ถูกพรรคเพื่อไทยกับภูมิใจไทยเอาตัวไป 2 คนนั้น ยังมั่นใจว่าสู้ได้
ตะวันออก เดิมเป็นของประชาธิปัตย์เกือบทั้งสิ้น ตราด จันทบุรี ระยอง ชลบุรี เที่ยวนี้จะได้เพิ่มที่ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี สระแก้ว ขณะที่กรุงเทพฯ 26-27 เขต
ภาคใต้ เกือบทั้งหมดของประชาธิปัตย์ แต่ที่ลำบากคือ ยะลา 3 เขต มี 2 ที่นั่งเดิม ดังนั้นจึงมีแต่ได้เพิ่มหรือเสมอตัว ปัตตานี 4 เขต มีผู้แทน 2 คน เชื่อว่าเที่ยวนี้คงได้ครบทั้งจังหวัด 4 เขต และนราธิวาส 4 เขต มีผู้แทน 1 เขต อย่างน้อยที่สุดต้องเพิ่มให้ได้ 2 เขต
“ผมเชื่อว่าโดยภาพรวมประชาธิปัตย์จะมีผู้แทนจากเขตเลือกตั้ง 150 คน เพราะฉะนั้น 150 บวกบัญชีรายชื่อ 60-70 คน ก็จะได้ 200 กว่า คิดแบบธรรมดา ไม่ได้เกทับบลัฟแหลก”
จากเป้า 200 กว่านี้ นำมาสู่คำถามถึงการจับขั้วรอบหน้าว่าจะยังเหนียวแน่นกับพรรคร่วมรัฐบาลที่ร่วมหัวจมท้ายกันมาเที่ยวนี้หรือไม่
ผู้จัดการรัฐบาลยังสงวนท่าทีแบ่งรับแบ่งสู้ว่า ตลอดเวลาที่ร่วมรัฐบาลมากับพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลาย ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกินใจกัน ได้ประคับประคองไปเรื่อย ช่วยแก้ปัญหาบ้านเมือง อย่างไรก็ตาม ไม่ได้จำกัดว่าพรรคร่วมเหล่านั้นต้องอยู่กับเราตลอดไป เราให้สิทธิเขาแล้ว เราเคารพในการตัดสินใจของแต่ละพรรค
“เมื่อเลือกตั้งจบ ฝ่ายไหนรวบรวมเสียงในสภาได้มากกว่าก็จัดตั้งรัฐบาล พรรคเพื่อไทยจะแพ้พรรคประชาธิปัตย์ แต่ถ้าเขาสามารถชวนพรรคร่วมรัฐบาล พรรคเล็กๆ น้อยๆ ไปสนับสนุนเขาได้ ก็จัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ว่าต้องดูผลกันไป เพราะระบบของเราเป็นอย่างนั้น ใครรวบรวมเสียงข้างมากในสภาได้มากกว่าก็จัดตั้งรัฐบาล”
สำหรับ “ภูมิใจไทย” ที่หลายคนมองว่าอย่างไรก็คงต้องร่วมหัวจมท้ายกับ “ประชาธิปัตย์” ต่อไปนั้น “สุเทพ” อธิบายว่ามีคนพยายามพูด ซึ่งไม่รู้ว่าจะด้วยวัตถุประสงค์ใด แต่ไม่มีใครร่วมหัวจมท้ายกับใครหรอก ในทางการเมืองทุกคนมีทางเลือกของตัวเอง
“แต่ไม่เป็นปัญหา เราไม่ไปผูกมัดการตัดสินใจกับพรรคร่วมรัฐบาลเก่า หรือพรรคเล็กๆ ที่เคยร่วมงานกับเรา เขามีสิทธิเสรีไปร่วมกับใครก็ได้ แต่ประชาธิปัตย์มีมิตรไมตรีที่ดีต่อพรรคเหล่านั้น และรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอยู่ ผมในฐานะที่เป็นผู้จัดการรัฐบาล 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้รับความร่วมมือจากบรรดาผู้นำพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค ไม่เคยมีปัญหาอะไร มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอด”
ทว่า ตัวแปรการเมืองสำคัญอย่างพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กที่ผนึกกำลังทางการเมืองหลายกลุ่มนั้น สุเทพ มองว่าไม่มีอะไรต้องกังวลใจ การเมืองเป็นเรื่องของการต่อรองปกติ ถ้าเขารวมกันก็มีความแข็งแกร่งในการเจรจาต่อรองอะไรได้ ก็ธรรมดา
ในช่วงเลือกตั้งที่ยังไม่สิ้นบรรยากาศความรุนแรงเช่นนี้ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ยังยืนยันว่าเขายังลงพื้นที่ปกติ ทั้งนายกฯ ตัวเขา ผู้หลักผู้ใหญ่ แกนนำพรรคต้องไปทุกภาค จะไประย่นระย่อไม่ได้ ไม่ใช่ยุทธวิธีลึกลับอะไร ประชาธิปัตย์ก็ทำอย่างนี้ตลอด เยี่ยมเยียนพบประชาชนใกล้ชิด ตั้งเวทีปราศรัย
“กลัวไม่ได้ ไม่งั้นจะไปหาเสียงยังไง เราก็ต้องไป” ว่าแล้วก็ถลกเสื้อเชิ้ตเปิดให้เห็นว่าไม่มีเสื้อเกราะ มีแต่พระเครื่อง เมื่อถูกถามว่าต้องมีเครื่องป้องกันเป็นพิเศษเวลาลงพื้นที่หรือไม่
****************************
ประชาชนไม่ลืม! ไม่ให้คะแนนเพื่อไทย
สุเทพ ยืนยันสิ่งที่จะทำให้ประชาธิปัตย์ชนะเพื่อไทย คือ ประชาชนตระหนักดีว่าตลอดเวลา 2 ปีกว่า พรรคเพื่อไทยภายใต้การบงการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ทำความเสียหายให้กับบ้านเมืองมาก ก่อกวนการทำงานของรัฐบาล จัดชุมนุมปลุกระดมให้คนในประเทศเกลียดชังกัน แบ่งแยกชนชั้น ซึ่งไม่มีเรื่องชนชั้นในสังคมไทย
นี่พยายามแบ่งแยกเป็นไพร่ อำมาตย์ แบ่งแยกประชาชน ทำให้คนเกลียดกัน มอมเมาเยาวชนด้วยข้อมูลที่ผิดๆ ปลุกระดมประชาชนจนถึงขั้นลุกขึ้นก่อเหตุร้ายแรง พังสถานที่จัดประชุมอาเซียนที่พัทยาเมื่อปี 2552 จนทำให้การประชุมอาเซียนล่มอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
เสร็จจากพัทยาก็ย่ามใจมายึดกรุงเทพมหานคร ยึดสามแยก สี่แยก เอารถเมล์มาเผา เอาแท็กซี่มาเผา เอายางมาสุมกลางถนนเผาไฟจนเหมือนกรุงเทพฯ เป็นแดนมิคสัญญี ประชาชนคนกรุงเทพฯ อกสั่นขวัญแขวน รัฐบาลได้ขอกำลังเจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาแก้ไขสถานการณ์จนทำให้สถานการณ์คืนสู่สภาวะปกติ
สุเทพ อธิบายว่า ปี 2553 คราวนี้มาแรงกว่าเดิม นอกจากเอาผู้ชุมนุมมาเป็นแสนแล้วยังเอากองกำลังติดอาวุธ อาก้า เอ็ม 16 เอ็ม 69 อาร์พีจี ระเบิด เอามาทำร้ายเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะสงบได้ก็วันที่ 19 พ.ค. 2553 แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ และบริวารกลับบงการให้ประชาชนลุกขึ้นเผาบ้านเผาเมือง เผาธนาคาร ห้างสรรพสินค้า ศาลากลางจังหวัด
เป็นเรื่องที่น่าอเนจอนาถ เสียหายไม่รู้กี่หมื่นล้าน ภาพลักษณ์ของประเทศยับเยินไปหมด เกิดการใช้อาวุธปะทะเจ้าหน้าที่ก็มีคนบาดเจ็บล้มตาย เดี๋ยวนี้ก็พยายามบิดเบือนให้ร้ายเจ้าหน้าที่ทหาร รัฐบาล หาว่านายกฯ กับผมเองเป็นคนสั่งฆ่าประชาชน หาว่าทหารสั่งฆ่าประชาชน สร้างสถานการณ์ร้าวฉานในบ้านเมืองยิ่งขึ้น ไม่ว่ารัฐบาลจะพยายามชักชวนให้มาปรองดอง ประนีประนอมกัน ก็ปฏิเสธหมด
สุเทพ ชี้แจงว่า เมื่อวันนี้นายกฯ อภิสิทธิ์ ประกาศยุบสภา เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อให้ได้โอกาสประเทศไทยนับหนึ่งกันใหม่ ไม่ต้องจมปลักอยู่กับข้อวังวนเก่าๆ ข้อขัดแย้งเก่าๆ แต่วันนี้จะเห็นชัดว่ากระบวนการทักษิณ ระบอบทักษิณยังทำ 2-3 เรื่องไปพร้อมกัน คือ ฝ่ายพรรคการเมืองหาเสียงเลือกตั้งแข่ง ใช้วิธีการต่างๆ นานา ขณะที่ฝ่ายปลุกระดมยังปลุกระดมเอามวลชนมากดดันสังคมอยู่เรื่อยๆ ไม่นับกองกำลังติดอาวุธซึ่งส่งเข้ามาบ้านเรา จับกุมได้ไปบ้างแล้ว
“สิ่งเหล่านี้ผมคิดว่า ดร.ทักษิณ และบริวารอาจจะคิดว่าประชาชนลืมไปแล้ว แต่ผมเชื่อว่าเมื่อถึงเวลาเลือกตั้งประชาชนจะนึกได้ ประชาชนจะรู้สึกว่าถ้าเลือกพรรคเพื่อไทยสิ่งที่จะคืนมาคือระบอบทักษิณ ก็จะมีการครอบงำ แทรกแซงองค์กรอิสระ เข้าไปกำกับศาล วุฒิสภา แทรกแซงสื่อมวลชน ข้าราชการประจำกองทัพ และลุแก่อำนาจในการทุจริตคอร์รัปชันเหมือนเดิม
อย่างนี้ผมคิดว่าประชาชนจำได้ เพราะอย่างนั้นเมื่อมาถึงวันเลือกตั้ง ผมถึงค่อนข้างมั่นใจว่าอย่างไรเสียประชาชนในประเทศไทยไม่ให้คะแนนพรรคเพื่อไทย หรือ ดร.ทักษิณ จนถึงขั้นมาจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว 270 เสียงอย่างที่คุยกัน และผมเชื่อว่าเขาจะได้คะแนนน้อยลง”
สุเทพ อธิบายต่อว่า ขณะเดียวกันประชาชนคงเห็นว่านายกฯ เป็นผู้นำรุ่นใหม่ที่โดดเด่น มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความจริงจังจริงใจ เมื่อก่อนหาว่าเป็นเด็ก แต่เวลา 2 ปีกว่า อภิสิทธิ์สามารถบริหารราชการบ้านเมือง แก้ปัญหาวิกฤตการณ์ของประเทศ ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตการเมือง ทางเศรษฐกิจมีปัญหาตกต่ำ แต่ว่านายกฯ สามารถพาประเทศไทยฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้ตัวเลขเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่า 7%
2 ปีกว่า ชัดเจนว่าประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น สินค้าเกษตรทุกตัวขายได้ราคา รายได้ประชาชนทุกครอบครัวดีขึ้น ค่าแรงขั้นต่ำให้ผู้ใช้แรงงาน ขึ้นเงินเดือนให้ผู้ใช้แรงงาน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายก อบต. นายก อบจ. ข้าราชการทั่วไปเพิ่มหมด แม้วันนี้ข้าวของแพง แต่ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นพอที่จะต่อสู้ ต่อต้านได้ โครงการช่วยเหลือประชาชนคนจนทั้งหลายเดินหน้าต่อไป ทั้งเรียนฟรี 15 ปี ทุนกู้ยืมให้เรียนต่อมหาวิทยาลัย รักษาพยาบาลมีคุณภาพ ไม่ต้องเสีย 30 บาท คนแก่ผู้สูงอายุได้เงินเดือนละ 500 บาท อสม.ทั่วประเทศได้ค่าน้ำมันรถเดือนละ 600 บาท
“ผมเชื่อว่าประชาชนเห็นและประจักษ์ว่าทำได้ดีและทำได้มากกว่า ในแง่การเมืองสามารถรักษาบ้านรักษาเมืองให้พ้นมาได้ ไม่เกิดสงครามกลางเมือง ไม่ต้องเกิดกลียุค 2-3 ปี อันนี้ประชาชนเห็นใจนายกฯ อภิสิทธิ์แน่นอน ผมมั่นใจว่าในขณะที่ประชาชนเห็นคุณงามความดีของนายกฯ อภิสิทธิ์ ในขณะที่ประชาชนเห็นความร้ายกาจของบริวารคุณทักษิณ สามารถเปรียบเทียบได้”
กับคู่แข่งชิงเก้าอี้นายกฯ อย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้น “สุเทพ” มองว่าไม่จำเป็นต้องพูดถึง ประชาชนเห็นชัดเจน แต่ให้ได้ระลึกกันอยู่ตลอดเวลาว่าจะเอาใครขึ้นมาเป็นนอมินี เป็นตัวแทนคุณทักษิณก็แล้วแต่
คนที่บงการจริงๆ ก็คือคุณทักษิณ ประชาชนชาวไทยต้องตระหนักดีว่าถ้าเลือกทักษิณวันนี้ แล้วถ้าบริวารทักษิณชนะมีจำนวนมากกว่า มันจะมีกระบวนการยกเลิกความผิดของคุณทักษิณทั้งหลายทั้งปวง นั่นหมายความว่าคนอื่นทำผิดกฎหมายติดคุก แต่คุณทักษิณจะเป็นคนเดียวที่ถูกยกเว้นว่าไม่ต้องติดคุก ก็เป็นปัญหาที่ประชาชนเล็งเห็นอยู่แล้ว
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 1043 ครั้ง