รัฐบาลอินเดียซึ่งกำลังวางแผนจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติเพื่อไล่ซื้อกิจการพลังงานในต่างประเทศแข่งกับจีนได้ออกคำสั่งไปยัง 2 บริษัทรัฐวิสาหกิจน้ำมันได้แก่ บริษัทโอเอ็นจีซี หรือ Oil and Natural Gas Corp (ONGC) และบริษัท ออยล์อินเดีย จำกัดให้เร่งมือการไล่ซื้อกิจการน้ำมันในต่างประเทศตั้งแต่ปีงบประมาณที่จะเริ่มต้นใน 1 เมษายนนี้เป็นต้นไป
“เรากำลังเร่งให้ทั้ง 2 บริษัทต้องได้เป้าหมายเป็นสินทรัพย์ขนาดใหญ่อย่างน้อยคนละ 1 ดีลในปีงบประมาณหน้า” นายเอส สุนดาเรชาน ข้าราชการระดับสูงกระทรวงน้ำมันอินเดียให้สัมภาษณ์กับทางบลูมเบิร์กผ่่านทางโทรศัพท์จากกรุงนิวเดลีวันนี้ (18 มีนาคม) “เรากำลังมองหาสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตในต่างประเทศ”
ประเทศจีนซึ่งมีทุนสำรองกว่า 2.4 ล้านล้านดอลลาร์และมีกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติมูลค่ากว่า 300,000 ล้านดอลลาร์ยังคงนำหน้าอินเดียในการแข่งขันชิงทรัพยากรในต่างประเทศเพื่อป้อนระบบเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว บริษัทจีนได้ทุ่มเงินกว่า 32,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้วเพื่อไล่ซื้อสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน ถ่านหิน และโลหะ ขณะที่อินเดียประสบความสำเร็จในการลงทุนเพียงครั้งเดียวจากการตกลงซื้อหุ้นบริษัทน้ำมันอังกฤษ อิมพีเรียล อีเนอร์จี้ ของโอเอ็นจีซีเป็นเงิน 2,100 ล้านดอลลาร์
“ความมั่นคงทางพลังานกลายเป็นประเด็นหนึ่งในประเด็นที่กดดันอินเดียมากที่สุดในขณะนี้” นายวีกัส เปอร์ชาด ประธานเจ้่าหน้าที่บริหารบริษัท วีดา อินเวสต์เมนต์ส แอลแอลซีในนครชิคาโกกล่าวกับบลูมเบิร์กทางโทรศัพท์ “ทั้ง 2 บริษัทต้องการการผลักดันและความช่วยเหลือทั้งหมดเท่าที่มีที่รัฐบาลจะสามารถให้ได้”
กระทรวงน้ำมันอินเดียได้ขอร้องไปยังกระทรวงการคลังให้นำส่วนหนึ่งของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศมาตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนการไล่ซื้อสินทรัพย์ด้านน้ำมันและพลังงานแข่งกับจีน จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตามขนาดของกองทุนยังไม่ได้ข้อสรุปในตอนนี้
เรามีเป้าหมาย
“การซื้อสินทรัพย์ในต่างประเทศยังคงเป็นเป้าหมายหลักในตอนนี้” นายอาร์ เอส ชาร์มาประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการของโอเอ็นจีซีให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในวันนี้ “ตอนนี้เรามีเป้าหมายและวิธีการในการบรรลุเ้ป้าหมายคือการซื้อสินทรัพย์ในต่างประเทศ” นายชาร์มากล่าวโดยเป้าหมายที่เขาอ้างถึงนั้นคือ เป้าหมายในด้านกำลังการผลิตของบริษัท ปัจจุบันบริษัทผลิตน้ำมันดิบเป็นจำนวน 25% ของการการผลิตทั้งหมดของอินเดีย
ขณะนี้โอเอ็นจีซีและออยล์อินเดียเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผู้ประมูลงานที่ชนะการประมูลและไำด้สิทธิ์ในการเข้่าไปพัฒนาบ่อน้ำมันคาราโบโบ้ที่ 1 ในเวเนซูเอล่าเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยการพัฒนาบ่อนี้ต้องใช้เงินลงทุนกว่า 19,000 ล้านดอลลาร์
“ตอนนี้มีสินทรัพย์อื่นๆทั่วโลกซึ่งเราอยู่ในขั้นตอนของการเจรจาและการพิจารณาอยู่” นายเอ็น เอ็ม โบราห์ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการของออยล์อินเดียให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับบลูมเบิร์กในวันนี้ แต่ปฏิเสธที่จะให้รา่ยละเอียดเพิ่มเติม
บีพี, ซีนุค
บริษัทน้ำมันหลายแห่งทั่วโลกเตรียมขายสินทรัพย์เพื่อระดมเงินหลังจากเผชิญวิกฤตการเงินในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาโดยโคโนโค่ ฟิลลิปส์ บริษัทน้ำมันรายใหญ่จากสหรัฐฯได้ประกาศเมื่อตุลาคมปีที่แล้วว่าเตรียมขายแหล่งน้ำมันและก๊าซในต่างประเทศและโรงกลั่นต่างๆมูลค่า 10,000 ล้านดอลลาร์ภายใน 2 ปีข้างหน้า
นอกจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัท เดว่อน อีเนอร์จี้ ได้ตกลงขายสินทรัพย์ในบราซิล อ่าวเม็กซิโก และอาร์เซอร์ไบจันให้กับบริษัทบีพีจากอังกฤษเป็นเงิน 7,000 ล้านดอลลาร์อีกด้วย
ขณะที่ล่าสุดบริษัทซีนุคซึ่งเป็นบริษัทสำรวจน้ำมันต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดของจีนตกลงที่จะซื้อหุ้นครึ่งหนึ่งของบริษัทน้ำมันอาร์เจนติน่า ไบรดาส มูลค่า 3,100 ล้านดอลลาร์ เมื่อวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมาถือเป็นการซื้อกิจการที่มูลค่าสูงที่สุดในรอบ 4 ปีซึ่งซีนุคใช้เงินซื้อกิจการต่างประเทศไปแค่ 6,600 ล้านดอลลาร์ นอกจากนั้นซีนุคยังได้ซื้อหุ้นในบ่อน้ำมันไนจีเรียในปี 2006 หลังจากรัฐบาลอินเดียระงับแผนการซื้อบ่อน้ำมันนี้ของโอเอ็นจีซี
ส่วนกองทุน CIC กองทุนความมั่งคั่งแหง่ชาติมูลค่า 300,000 ล้านดอลลาร์ของจีนได้ลงทุนในบริษัทพลังงานและโลหะไปมากมายเช่นกันในปี 2009 ที่ผ่านมาในหลายๆประเทศทั้งในแคนาดา อินโดนีเซีย และสหรัฐฯขณะที่ธนาคารซีดีบี (China Development Bank) ได้ปล่อยสินเชื่อต้นทุนต่ำมูลค่า 30,000 ล้านดอลลาร์ให้กับบริษัทซีเอ็นพีซีซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเปโตรไชน่าเพื่อไล่ซื้อกิจการในต่างประเทศเช่นกัน
เป็นหุ้นส่วนกับรัสเซีย
เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลอินเดียได้ออกมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมาว่า อินเดียสนใจเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทรอสเน็ฟต์ ออยล์ และ แก็สพร็อม โอเอโอ 2 ยักษ์ใหญ่ทางพลังงานของรัสเซียเพื่อร่วมมือกันสำรวจแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในรัสเซีย
“เมื่ออินเดียต้องแข่งกับคู่แข่งรายใหญ่อย่างจีน บริษัทอินเดียต้องจ่ายราคาที่สูงกว่าเพื่อไล่ซื้อสินทรัพย์แข่งกับจีน” นายเปอร์ชาดจากวีดากล่าวเพิ่มเติม “อินเดียต้องมองในระยะยาว”
อุปสงค์ต่อน้ำมันในอินเดียจะสูงขึ้นเนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นและผลผลิตจากแหล่งน้ำมันในประเทศเริ่มลดลง กระทรวงการคลังอินเดียออกมาคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอินเดียจะโต 8% ในปีงบประมาณหน้า ขณะที่อินเดียต้องนำเข้าน้ำมันดิบกว่าใันกว่า 75% เพื่อการบริโภคในประเทศ
ขณะที่ตัวเลขจากทบวงพลังงานระหว่างประเทศหรือ ไออีเอระบุว่า ความต้องการใช้พลังงานของอินเดียจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเป็นค่าพลังงานเทียบเท่าน้ำมัน 833 ล้านตัน หากอัตราการเติบโตยังเป็นเช่นในปัจจุบันซึ่งขับเคลื่อนโดยประชาการที่เพิ่มขึ้นและการเร่งสร้างฐานทางอุตสาหกรรม
ที่มา Bloomberg