พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์สเตรทไทม์ส เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ว่า ความพยายามของรัฐบาลประชาธิปัตย์ในการสร้างแผนการปรองดองนั้นล้มเหลว และทำให้ประเทศแตกแยกมากขึ้น ขณะนี้จึงเป็นหน้าที่ของพรรคเพื่อไทยในการสร้างการปรองดองในชาติ และหวังว่าตนเองจะสามารถกลับประเทศไทยได้ เพื่อแก้ไขบาดแผลทางการเมืองของประเทศในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แต่ถึงแม้ว่าจะกลับมาไม่ได้ ก็ยังอยากให้ประเทศไทยกลับสู่สภาวะปกติ
“ความปกติในความหมายของพรรคประชาธิปัตย์นั้นเป็นคนละความหมาย เขาพยายามจะปรองดองมา 2 ปีครึ่งแล้ว แต่ก็ล้มเหลว ซ้ำยังทำให้ประเทศแตกแยกมากขึ้น เป็นคราวของเราแล้วที่จะต้องสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น” อดีตนายกฯ กล่าว
ส่วนที่มีผลสำรวจของโพลล์สำนักต่างๆ ออกมาว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ค่อนข้างจะสูสีกันนั้น พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวถึงเรื่องนี้โดยแสดงความมั่นใจว่า พรรคเพื่อไทยน่าจะชนะการเลือกตั้งได้อย่างชัดเจน และยอมรับด้วยว่า เขาติดตามการหาเสียงในไทยอยู่ทุกวันและวางแผนยุทธศาสตร์การเลือกตั้งอยู่เสมอ โดยดำเนินการจากบ้านพักหรู ขนาดห้องนอน 7 ห้อง ที่ดูไบ หรือบางทีก็จากเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว และรับข้อมูลความเคลื่อนไหวต่างๆ จากนักการเมืองในประเทศไทย พร้อมกับปราศรัยผ่านทางโทรศัพท์ หรือ “โฟนอิน” ในการชุมนุมของคนเสื้อแดงและการปราศรัยของเพื่อไทยอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังพูดคุยทางโทรศัพท์จากกลุ่มฐานเสียงต่างๆ ด้วย
อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า มีบางกลุ่มบางฝ่ายติดต่อเข้ามาหาเขาหลังจากหมดอำนาจ เขาจึงให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว เป็นตัวแทนในการเจรจาพูดคุย
“ผมไม่ไว้ใจนักการเมืองคนไหนๆ หรอก เพราะไม่มีความลับในหมู่นักการเมือง ผมจึงให้เธอเป็นคนไปพูดคุยกับพรรคการเมืองต่างๆ และทำงานในพื้นที่เยอะๆ ตอนนี้อยากเห็นประเทศไทยก้าวไปข้างหน้า ไม่หยุดอยู่ในสภาพเดิมๆ”
พ.ต.ท.ทักษิณยังพูดถึงบทบาทของทหารกับการเมืองว่า ทหารเกิดอาการวิตกจริตกันใหญ่เพราะมีข่าวว่าตนจะเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นสาธารณรัฐ และตั้งตนเป็นประธานาธิบดี
“ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลย เมื่อคุณกลายเป็นผู้นำ คุณก็ต้องเข้มแข็ง ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ที่เป็นปัญหาเรื้อรังได้ และพอเมื่อคุณเข้มแข็งปุ๊บ ก็มีคนบอกว่าผมอยากเป็นประธานาธิบดี ซึ่งไร้สาระมาก และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมเราถึงให้มีนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้หญิง เขาจะได้ไม่ต้องคิดว่าผู้หญิงจะสามารถทำอะไรเช่นนั้น”
เย้ยเนวินชี้ให้ใครเป็นนายกฯได้หรือ
พ.ต.ท.ทักษิณยังกล่าวถึงการที่นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ออกมาวิเคราะห์ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะไม่ได้เป็นนายกฯ แม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งว่า ตอนนายเนวินอยู่กับตน เป็นคนละคนกับตอนนี้ พร้อมทั้งย้อนถามว่า “นายเนวินใหญ่โตขนาดที่จะมาชี้ให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีได้อย่างนั้นหรือ”
ยอมรับผิดพลาดแก้ปัญหาไฟใต้
ในระหว่างการสัมภาษณ์นาน 1 ชั่วโมง พ.ต.ท.ทักษิณยอมรับว่า การกระทำที่รุนแรงต่อชาวมาเลย์มุสลิมในภาคใต้ สมัยที่ตนเป็นนายกฯ ถือเป็นความผิดพลาด และกล่าวว่า การเป็นตำรวจทำให้ถูกสอนมาว่าต้องใช้ทั้งกำปั้นเหล็กและถุงมือกำมะหยี่ ที่ผ่านมาได้ใช้กำปั้นเหล็กมากไป และเสียใจในสิ่งที่เคยทำ ดังนั้น ในอนาคตจะต้องเปลี่ยนแปลง
พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุอีกว่า พรรคเพื่อไทยจะรื้อฟื้นข้อตกลงกรณีพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรบริเวณใกล้กับเขาพระวิหาร เพื่อพิจารณาถอนข้อตกลงดังกล่าว
“เราควรมีการพูดคุยกัน ไม่ใช่เอะอะๆ ก็ส่งทหารเข้าไป ถ้าคุณมายิงใส่เพื่อนบ้านตัวเอง แล้วจะอยู่ด้วยกันอย่างสงบได้ยังไง ถ้าคุณใหญ่กว่าหรือรวยกว่า คุณก็ควรมีจิตใจที่ดีและเมตตาต่อคนที่จนกว่าและตัวเล็กกว่า” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
“ทักษิณ”ชี้สกัดพท.เจอต้านแน่
หนังสือพิมพ์ดิ อินดิเพนเดนท์ และหนังสือพิมพ์โกลบ แอนด์ เมล ของอังกฤษ ฉบับวันที่ 30 พฤษภาคม ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ พล.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถึงการเลือกตั้งในประเทศไทย ตอนหนึ่งว่า ทุกอย่างดูดีมาก ความนิยมในพรรคเพื่อไทย และน.ส.ยิ่งลักษณ์ มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็แสดงความวิตกว่าบรรดาพรรคการเมืองคู่แข่งอาจพยายามที่จะบ่อนทำลายชัยชนะของพรรค
พ.ต.ท.ทักษิณไม่เชื่อว่า บรรดาผู้สนับสนุนตัวเขาจะยอมนั่งอยู่อย่างเงียบๆ หากพรรคเพื่อไทยที่ได้ชัยชนะมาอย่างขาวสะอาด ไม่ได้ขึ้นเป็นรัฐบาล พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่าทั่วโลกจะไม่อดทนต่อไป หากเกิดความรุนแรงขึ้นมาอีก และเรียกร้องให้มีผู้สังเกตการณ์ต่างชาติเข้าร่วมสังเกตการณ์การเลือกตั้งครั้งล่าสุดนี้ด้วย
“การจะทำแบบนั้นได้พวกเขาจะต้องมีเหตุผล อยู่ดีๆ จะมาบอกว่า เราไม่ต้องการให้พวกคุณเป็นรัฐบาล ไม่ได้ ซึ่งหากฝ่ายตรงข้ามกับเรา มีการกระทำที่ขัดต่อจริยธรรม หรือขัดต่อกฎหมาย ก็คงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกเขา ไม่ได้เป็นเรื่องดีสำหรับประเทศ สำหรับประชาชน ผมอยากขอร้องให้พวกเขาปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ ที่เราเรียกว่าประชาธิปไตย”
หนังสือพิมพ์สัญชาติอังกฤษยังระบุว่า แม้พรรคเพื่อไทยจะแสดงความหวังอย่างชัดเจนถึงการนิรโทษกรรม เพื่อเปิดทางให้พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางกลับประเทศไทย แต่เขายืนยันว่า หลังจากที่เคยเป็นผู้นำมานานถึง 6 ปีแล้ว ก็ไม่คิดที่จะกลับเข้าไปอยู่ในตำแหน่งเดิมอีก และอยากให้น้องสาวเข้าไปทำหน้าที่แทนมากกว่า
“ผมจะเดินทางกลับบ้าน ก็ต่อเมื่อมีการไกล่เกลี่ยทุกอย่างได้แล้ว ผมไม่ต้องการที่จะเพิ่มปัญหาให้แก่ประเทศ ถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี และถ้าผมสามารถทำประโยชน์ให้แก่ประเทศได้ ผมก็จะกลับไป ไม่เช่นนั้น ผมคงเลือกที่จะอยู่ในต่างประเทศต่อไป เพราะตอนนี้ผมสบายใจแล้ว หลังจากที่รู้สึกหัวเสียในช่วงแรกๆ”
พ.ต.ท.ทักษิณบอกด้วยว่า อยากให้ลูกๆ ผลัดกันไปเยี่ยม เพื่อบ้านจะได้ไม่เงียบเหงาเกินไปนัก รวมทั้งอาจไม่สามารถไปร่วมงานแต่งงานของลูกสาวคนโต (พินทองทา ชินวัตร) ในปีนี้ได้ และบอกด้วยว่าขณะนี้หย่ากับคุณหญิงพจมานแล้ว
ทหารมีหลักฐานแม้วพูดอยากเป็นปธน.
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์สเตรทส์ ไทม์ส โดยมองว่า การที่กองทัพแจ้งความดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจะส่งผลเสียต่อทั้งกองทัพและสถาบันว่า กองทัพมีหน้าที่ธำรงไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อีกทั้งหน้าที่ในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ก็เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนอยู่แล้ว กองทัพจึงไม่ได้ทำอะไรที่เกินหน้าที่แต่อย่างใด หากกองทัพไม่ทำอะไรเลย ก็จะมีคำถามได้ว่า กองทัพทำอะไรอยู่ถึงไม่ยอมทำหน้าที่ของตัวเอง
สำหรับประเด็นที่ พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่า ทหารเกรงว่าเขาจะเป็นประธานาธิบดี จึงให้ นางยิ่งลักษณ์เข้ามาเพื่อที่จะไม่ให้ถูกมองเช่นนั้น พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า ไม่มีใครพูดอย่างนั้น มีแต่นักการเมืองพูดกัน ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณย่อมรู้ตัวเองดีที่สุดว่า คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร ส่วนประชาชนจะคิดอย่างไรนั้นก็คงเป็นดุลพินิจของแต่ละคนเอง
ขณะที่แหล่งข่าวในกองทัพกล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่า ทหารระแวงว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับมาเป็นประธานาธิบดีว่า “เรื่องนี้ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนพูดเอง ซึ่งตำรวจและทหารมีหลักฐานบันทึกคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่กล่าวไว้ระหว่างการหาเสียงในภาคเหนือเมื่อหลายปีก่อนอยู่ ซึ่งทหารไม่เห็นด้วย เพราะประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัติรย์ทรงเป็นประมุข”
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 3484 ครั้ง