“ถ้าพรรคใดได้เสียงข้างมากเป็นอันดับ 1 ก็มีสิทธิในการจัดตั้งรัฐบาลก่อน แต่ถ้าตั้งรัฐบาลไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่พรรคอันดับ 2 มีสิทธิจะจัดตั้งรัฐบาล ผมชัดเจนว่า ถ้าคุณได้เสียงอันดับหนึ่งก็ไปจัดตั้งรัฐบาลก่อน แต่ถ้าจัดตั้งไม่ได้จะให้ทำอย่างไร ถ้าตั้งรัฐบาลไม่ได้ ประเทศจะเดินไปอย่างไร” นายอภิสิทธิ์กล่าว และว่า ตามระบบรัฐสภานั้น ถ้าเลือกตั้งแล้วได้เสียงไม่ถึงครึ่งก็แปลว่า คนส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้ต้องการให้พรรคนั้นเป็นรัฐบาลก็ได้
ส่วนที่พรรคเพื่อไทยระบุว่า ถ้าได้เสียงเป็นอันดับ 1 แต่ไม่ได้ตั้งรัฐบาล อาจมีมวลชนออกมาเคลื่อนไหวนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตามระบบรัฐสภาเราต้องเคารพการตัดสินใจของประชาชน ถ้าได้เสียงชัดเจนเกินครึ่งก็ได้จัดตั้งรัฐบาล ซึ่งในประเทศออสเตรเลียไม่มีพรรคไหนได้เสียงเกินครึ่ง แต่พรรคใหญ่ก็เดินเข้าหาพรรคเล็ก รวบรวมเสียงในการจัดตั้งรัฐบาล หรือแม้แต่ประเทศอังกฤษ ซึ่ง 2 พรรคใหญ่ก็ไม่ได้เสียงข้างมากเช่นกัน และเมื่อปี พ.ศ.2518 พรรคประชาธิปัตย์ได้เสียงเป็นอันดับ 1 ก็ไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล แต่เราไม่ได้ระดมคนออกมาชุมนุมต่อต้าน เพราะเราเคารพกติกา ดังนั้นถ้าคิดจะปรองดองก็ต้องไม่มีการข่มขู่คุกคาม การบอกว่าจะมีระดมคนออกมานั้น เป็นการข่มขู่คุกคาม เราจะเอาอย่างนั้นหรือ
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่า ไม่มีอำนาจแทรกซ้อนช่วยเหลือในการตั้งรัฐบาล และยังยืนยันว่า ตามรัฐธรรมนูญและตามการเมืองแบบไทยๆแล้ว เรายึดเสียงข้างมากเป็นหลัก ส่วนที่พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน และพรรคภูมิใจไทย มีท่าทีว่าพร้อมจับขั้วกับพรรคเพื่อไทย ก็เป็นสิทธิของพรรคการเมืองจะตัดสินใจ ไม่ได้ทำให้พรรคประชาธิปัตย์หวั่นไหวหรือโดดเดี่ยวอะไร เพราะแต่ละพรรคย่อมมีทางเลือกของตัวเอง แต่ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินใจอนาคตของประเทศ ส่วนเรื่องนิรโทษกรรมนั้น ยังยืนยันเหมือนเดิมว่า คนทำผิด ทำลายทรัพย์สินราชการ ทำร้ายประชาชน ต้องเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงการที่นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ระบุว่า หากนำพรรคประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้งจะแสดงสปิริตลาออกจากหัวหน้าพรรคว่า ถ้าตนทำให้พรรคเสียหายก็พร้อมแสดงความรับผิดชอบ และถ้าประชาธิปัตย์ได้ส.ส.ต่ำกว่า 150 คน พรรคคงไม่ให้ตนเป็นหัวหน้าพรรคต่อไปแน่
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 1171 ครั้ง