เวลา 22.48 ของ คืนวันที่ 12 มิ.ย. ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้เขียน บทความในหัวข้อ จากใจอภิสิทธิ์ ถึงคนไทยทั้งประเทศ 3 ผ่านทาง เฟซบุ๊ค มีเนื้อหาเป็นการแจงหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองเมื่อปี 2553 โดยระบุว่า เดิมทีตั้งใจจะเขียนเรื่องการต่อสู้กับปัญหาคอรัปชั่น แต่เมื่อมีความพยายามสร้างกระแสเกี่ยวกับเหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค.2 ปีที่ผ่านมา โดยอ้างอิงถึงความสูญเสีย 91 ศพ (ซึ่งรวมทหาร -ตำรวจ ประชาชนที่เป็นเหยื่อ M 79 ที่ยิงออกมาจากที่ชุมนุมด้วย)ผมจึงต้องขอเสนอความจริงเรื่องนี้ก่อน ทุกคนคงจำได้ว่า เหตุการณ์ความรุนแรงมีมาตั้งแต่ปี 2552 ที่มวลชนมาทุบรถผมที่พัทยา ล้มการประชุมอาเซียนไล่ล่าผมที่กระทรวงมหาดไทยแล้วก่อจลาจลในช่วงสงกรานต์ผมมีหน้าที่รักษากฎหมาย ก็ได้คลี่คลายปัญหาด้วยความอดทน อดกลั้นเราก็ผ่านเหตุการณ์มาได้โดยไม่มีการสูญเสีย ยกเว้นชาวบ้านนางเลิ้ง 2 คน ที่ตกเป็นเหยื่อของการชุมนุม ขณะที่ภาพลักษณ์เศรษฐกิจถูกซ้ำเติมอย่างรุนแรง
“ในครั้งนั้นคุณทักษิณกับพวกพยายามกล่าวหาว่ารัฐบาลฆ่าประชาชน ทั้งๆที่ไม่มีมูลความจริงลงทุนเผยแพร่คลิปตัดต่อเสียงผมจากรายการเชื่อมั่นประเทศไทยฯร้อยเรียงคำพูดใหม่ให้กลายเป็นว่า “ผมสั่งฆ่าประชาชน”เพื่อปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชัง แต่เมื่อสังคมส่วนใหญ่รู้ความจริงจึงทำให้ประเด็นดังกล่าวจุดไม่ติด”
“ชนวนเหตุการณ์ปี 2553 เริ่มจากการที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษายึดทรัพย์คุณทักษิณจากการทุจริตเชิงนโยบายจำนวน 4.6 หมื่นล้านบาท คุณทักษิณ วิดีโอลิงค์จากต่างประเทศทันทีที่ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาจบมีเนื้อหาไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของไทย ซึ่ง คุณทักษิณใช้คำว่า “เป็นกระบวนการยุติความเป็นธรรม”ถึงขนาดกล่าวหาว่าศาลเป็นเครื่องมือทางการเมือง สร้างวาทกรรมสองมาตรฐานปลุกปั่นพี่น้องเสื้อแดงให้เข้าใจว่าเขาถูกกลั่นแกล้งโดยอำมาตย์แต่ไม่เคยพูดถึงวันที่ตัวเองชนะคดีซุกหุ้นซึ่งคนจำนวนไม่น้อยเห็นต่างจากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญแต่ไม่มีการระดมมวลชนกดดันสังคมให้ความเคารพคำตัดสินดังกล่าวและให้โอกาสคุณทักษิณได้บริหารประเทศเป็นเวลานานกว่า5 ปี”
“เท่ากับว่าถ้าศาลตัดสินแล้วตัวเองได้ประโยชน์ถือว่า เป็นธรรม แต่ถ้าทำผิดหลักฐานมัดแน่นศาลตัดสินลงโทษกลายเป็นสองมาตรฐาน นี่คืออันตรายที่ คุณทักษิณใช้พี่น้องประชนที่ศรัทธาคุณทักษิณด้วยความบริสุทธิ์ใจเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างโหดร้าย”
“คุณทักษิณ ระบุในการวิดีโอลิงค์ครั้งนั้นว่า “วันนี้การเมืองตอนนี้ดุมาก ใจดำมาก แต่ขอผมเป็นเหยื่อการเมืองคนสุดท้ายถ้าเมื่อไรประเทศได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง และมีระบบถ่วงดุลอย่างเหมาะสมคงจะไม่มีเหยื่ออย่างผมอีกเพราะวันนี้ดุลทั้งหมดไปอยู่อำมาตย์ที่สามารถกดปุ่มสั่งการให้ระบบหนึ่งมีอำนาจเหนืออีกระบบหนึ่งอย่างง่ายดาย”
“ผมทราบทันทีว่าประเทศชาติกำลังตกอยู่ในอันตราย ประชาชนอยู่ในภาวะหวาดผวากลัวจะเกิดเหตุรุนแรง คำประกาศ “แดงทั้งแผ่นดิน”การเทเลือดหน้าบ้านทำให้ผมเป็นห่วงชาติบ้านเมืองว่ากำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะเป็นทะเลเลือดแดงฉานทั้งแผ่นดิน ผมพยายามอย่างที่สุดในการประนีประนอมบนหลักกฎหมายและความถูกต้องพวกเขาเรียกร้องให้ผมยุบสภาทันทีผมก็ไปนั่งเจรจาคุยกับแกนนำเสื้อแดงสองวัน 6 ชั่วโมง เสนอทางออกด้วยการยุบสภาในช่วงปลายปีไม่ใช่เพราะต้องการถ่วงเวลาอยู่ในอำนาจให้นานที่สุดแต่ต้องการให้เศรษฐกิจมั่นคงการเมืองมาตกลงเรื่องกติกาให้ชัดและไม่ให้เป็นแบบอย่างให้เกิดการเรียกร้องโดยใช้มวลชนกดดันไม่จบไม่สิ้น”
“อย่างไรก็ตามการเจรจาไร้ผล เพราะมีคนวางแผนเป็นขั้นตอนที่จะยัดเยียดให้ผมเป็น”ฆาตกรสั่งฆ่าประชาชน” จึงไม่ยอมรับในวิธีการแก้ปัญหาการเมืองด้วยการเมืองอย่างสันติ ซึ่งหากแกนนำคนเสื้อแดงและคุณทักษิณมีจุดประสงค์เพียงแค่ต้องการให้ยุบสภาไม่เกี่ยวกับการล้างความผิดให้คุณทักษิณ ย่อมไม่มีความตาย 91 ศพ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ต่อมาคนเหล่านี้เผยธาตุแท้ตัวเองให้เห็น ภายหลังผ่านเหตุการณ์ไทยวิปโยคว่า ให้รัฐบาลอยู่ครบเทอมไปเลย ทั้ง ๆ ที่ในช่วงเหตุการณ์ เมษายน-พฤษภาคม2553 เรียกร้องเอาเป็นเอาตายว่าต้องยุบสภาทันทีจนเกิดเหตุสูญเสียขึ้นในที่สุด”
“ความแตกต่างในการเคลื่อนไหวปี 2553 คือการเก็บเกี่ยวบทเรียนจากปี2552 ที่การยั่วยุไม่ประสบความสำเร็จ มาคราวนี้ปิดจุดอ่อนคราวที่แล้ว ด้วยการเพิ่มกองกำลังติดอาวุธซึ่งคนที่ยืนยันเรื่องนี้ไม่ใช่มีแค่นายอริสมันต์พงษ์เรืองรอง เพียงคนเดียว แต่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผลหรือเสธ.แดงก็เคยให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนในทำนองเดียวกันและก่อนเกิดเหตุรุนแรง พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ประสานเสียงกับเสธ.แดงหลังพบคุณทักษิณที่ดูไบว่า จะมีการตั้งกองทัพประชาชนซึ่งสื่อมวลชนเรียกขานว่า “กองทัพแดง” “
“เมื่อถูกกระแสสังคมต่อต้านอย่างรุนแรง ก็ทำให้ พล.อ.พัลลภยุติบทบาทไป การชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ปิดทั้งถนนราชดำเนินสี่แยกราชประสงค์ ซึ่งศาลได้ชี้ว่าเป็นการใช้สิทธิเกินขอบเขตของรัฐธรรมนูญนอกจากจะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจแล้วยังเพิ่มความแตกแยกและแรงกดดันต่อรัฐบาลให้เข้าสลายการชุมนุมอยู่ตลอดเวลา ไม่เพียงเท่านั้นยังมีการยั่วยุด้วยการยิง M 79 ในสถานที่ต่าง ๆและมีการเคลื่อนมวลชนไปหลายสถานที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนจำนวนมากและยังมีการใช้มวลชนกดดันทหารที่อยู่ในที่ตั้งฮึกเหิมถึงขนาดประกาศไปยึดสถานีไทยคม”
“ตลอดเวลาเจ้าหน้าที่แสดงความอดทนอดกลั้นมาโดยตลอดมิฉะนั้นคงเกิดเหตุแบบที่เราเห็นอยู่ที่ตะวันออกกลาง และในวันที่ 10 เมษายน เมื่อมีการขอคืนพื้นที่ เจ้าหน้าที่ก็ปฏิบัติตามกฎการใช้กำลังอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่บ่ายโมงจนถึงหกโมงเย็นไม่มีการสูญเสียเมื่อเริ่มมืดก็เริ่มมีการเจรจาให้สองฝ่ายอยู่กับที่แต่ไม่เป็นผลจึงมีการสั่งการให้ถอนกำลังกลับ จากนั้นสงครามเต็มรูปแบบก็เกิดขึ้นที่สี่แยกคอกวัว หลังคำประกาศบนเวทีราชประสงค์ของนายอริสมันต์ ไม่นานมีชายชุดดำแฝงตัวอยู่ในที่ชุมนุมใช้คนเสื้อแดงที่บริสุทธิ์เป็นเกราะกำบังโจมตีทหารจนเกิดการสูญเสียชีวิตทั้งทหารและประชาชน”
“ขณะที่ผมและผู้นำเหล่าทัพกับบุคคลที่เกี่ยวข้องซึ่งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดอยู่ในอาการช็อค กับการใช้ความรุนแรงกับคนไทยด้วยกันเองได้ถึงขนาดนี้แต่บนเวทีกลับนำศพไปปลุกระดมให้ประชาชนเกิดความโกรธแค้นมากขึ้นพร้อมยื่นคำขาดให้ผมเดินทางออกนอกประเทศ”
“เมื่อมีการต่อสายระหว่างนักการเมืองผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ฝ่ายผู้ชุมนุมอ้างว่าไม่เกี่ยวกับผู้ใช้อาวุธ และบอกให้เจ้าหน้าที่จัดการกับคนกลุ่มนั้นได้ตามใจชอบแต่เจ้าหน้าที่ขณะนั้นใช้กำลังเพียงแค่ปกป้องตนเองและคุ้มครองการลำเลียงผู้บาดเจ็บออกจากสถานการณ์เลวร้ายดังกล่าว คืนวันนั้นจนถึงวันรุ่งขึ้นเป็นคืนที่ผมไม่อาจหลับตาลงได้แม้แต่นาทีเดียว เป็นวันที่ผมสลดใจมากที่สุดในช่วงที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรี นอกจากการกดดันของผู้ชุมนุมและฝ่ายการเมืองรอบทิศ ผมต้องพิจารณาทบทวนตัวเองอยู่หลายครั้ง เพราะได้เกิดความสูญเสียขึ้น”
“แต่เพราะความเข้มแข็งของสังคมไทยที่รับทราบข้อเท็จจริงว่าความสูญเสียไม่ได้เกิดจากการก่ออาชญากรรมโดยรัฐ เพราะผมแสดงให้เห็นมาโดยตลอดที่จะใช้การเจรจาแก้ปัญหาจนถูกกล่าวหาว่าเป็นคนขี้ขลาดกลัวคนเสื้อแดง อีกทั้งยังปรากฎข้อเท็จจริงว่ามีกองกำลังติดอาวุธจริงในกลุ่มคนเสื้อแดง ทำให้สังคมให้โอกาสผมทำงานต่อ”
“ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพี่น้องคนไทยในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดสำหรับประเทศและยังต้องร่วมฟันฝ่าเพื่อให้ความสูญเสียที่เกิดขึ้น “เป็นจุดต่ำสุดของวิกฤตการเมืองแล้วและผมตั้งใจว่าเราจะก้าวพ้นความรุนแรงนี้ไปด้วยกัน”กระนั้นก็ตามผมก็ยังมุ่งมั่นคิดถึงแผนปรองดอง ซึ่งผมจะเขียนถึงในตอนต่อไป เพื่อให้ประชาชนได้ทราบข้อเท็จจริงว่า แกนนำเสื้อแดงสามารถหยุดยั้งไม่ให้เกิดศพเพิ่มได้ แต่พวกเขากลับเลือกแนวทางสร้างศพเพิ่ม เพื่อยัดเยียดข้อหาฆ่าประชาชนให้ผม”