เงินดอลลาร์คือเครื่องมือก่อการร้ายทางการเงิน!!!
โดย
เบ๊นซ์ สุดตา
ในขณะที่ทั่วโลกกำลังเฝ้าจับตามองปัญหาวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปที่ปะทุจากประเทศกรีซแล้วลุกลามไปยังประเทศไอร์แลนด์
โปรตุเกส สเปน และก็มีการคาดการต่างๆนานาในตลาดการเงินว่าประเทศกรีซอาจผิดนัดชำระหนี้(Default) หรือพูดกันแบบภาษาชาวบ้านเข้าใจง่ายๆก็คือ
การเบี้ยวหนี้หรือชักดาบนั่นเอง
จากการที่รัฐบาลไม่มีความสามารถหมุนเงินมาทันจ่ายภาระหนี้ตามพันธบัตรได้ทันเวลาเพราะเศรษฐกิจกรีซและยุโรปโดยรวมย่ำในสภาพย่ำแย่ต่อเนื่องจากวิกฤตการเงินปี
2007-2008
ทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟ
ทั้งประเทศพี่ใหญ่ในยุโรปอย่างฝรั่งเศสหรือเยอรมนีเองต่างออกมาบี้ให้ประเทศกรีซและประเทศอื่นๆที่ทยอยเข้าคิวขอเงินกู้จากไอเอ็มเอฟและสหภาพยุโรปเพื่อโอบอุ้มฐานะการคลังของรัฐบาล
ให้ดำเนินมาตรการรัดเข็มขัดเพื่อรีดเงินมาใช้หนี้ บีบแม้กระทั่งการบังคับขายสมบัติชาติคือ
รัฐวิสาหกิจแบบที่เคยบีบไทยและประเทศแถบละตินอเมริกาในสมัยก่อนเพื่อหาเงินมาใช้หนี้อีกทาง
หากไม่ทำตามบัญชาการของเจ้าหนี้ซึ่งแท้ที่จริงแล้วทำเพื่อผลประโยชน์ของนายทุนการเงินที่เป็นผู้ซื้อพันธบัตร
ประเทศก็จะถูกตัดลดอันดับความน่าเชื่อถือแบบเดียวกับไทยเช่นกัน
จนฐานะการเงินการคลังของประเทศอาจแทบโงหัวไม่ขึ้นเลย
ขณะที่ชาติตะวันตกเที่ยวชี้นิ้วประเทศต่างๆให้มีระเบียบวินัยทางการเงินเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือในหมู่นักลงทุนและประชาคมโลก
และคอยพร่ำสอนนักเรียนนักศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์ การเงิน
การธุรกิจต่างๆให้รู้จักรักษาเครดิตหรือความน่าเชื่อถือทางการเงินไว้ท่าชีวิต
มิเช่นนั้นอาจมีปัญหาในการทำมาค้าขายหรือการกู้ยืมเงินหากตัวเองผิดนัดชำระหนี้แม้แต่น้อย
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกเมื่อช่วงวันที่ 7 มิถุนายน 2011
ที่ผ่านมากลับทำให้ทั่วโลกตกตะลึง เมื่อยักษ์การเงินและเศรษฐกิจโลกอย่างอเมริกากลับกล้าประกาศที่จะ
“เบี้ยวหนี้” อย่างไม่อายปาก โดยนักการเมืองพรรครีพับลีกันบอกว่า
มันไม่เสียหายที่อเมริกาจะพักชำระหนี้เป็นเวลาสั้นๆ
เพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับปัญหาการขาดดุลการคลังหาได้ก่อนในระยะยาว
และเมื่อได้ข้อสรุปตรงกันกับฝ่ายทำเนียบขาวแล้ว
ฐานะการเงินอเมริกาก็ย่อมแกร่งขึ้นในระยะยาว
และสุดท้ายความมั่นใจต่ออเมริกาก็จะกลับมา
อเมริกาก็จะไม่มีปัญหาในการชำระหนี้ก้อนต่อไป
แต่พลันทีอเมริกาพูดเสร็จก็มีเสียงก่นด่าข้ามโลกส่งตรงมาจากกรุงปักกิ่งอย่างทันควันและเตือนว่า
อเมริกากำลัง “เล่นกับไฟ”
อยู่ทั้งนี้เนื่องจากกลไกการเงินโลกในปัจจุบันมีเงินดอลลาร์สหรัฐฯและสินทรัพย์ความมั่นคงสูงในรูปพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯเป็นแกนกลางในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจโลกให้ทำงานได้ปกติไม่หยุดชะงัก
เงินดอลลาร์เป็นเงินสกุลสำคัญของโลกที่ธนาคารกลางทั่วโลกเก็บรักษาไว้เป็นทุนสำรองเพื่อสนองความต้องการในการทำธุรกรรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศให้กับประชาชนของตัวเอง
ขณะเดียวกันหากมีเงินทุนสำรองเหลือเกินความจำเป็นจากการที่เงินไหลเข้ามากหรือการแทรกแซงค่าเงิน
เงินดอลลาร์ส่วนนี้จะถูกโยกกลับไปลงทุนในสหรัฐฯ (หรือในลอนดอน) โดยมากแล้วก็จะพักไว้ที่พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯซึ่งมีตลาดใหญ่โตกว่าตลาดพันธบัตรรัฐบาลที่ใดๆในโลกยกเว้นญี่ปุ่น
แต่เมื่อเทียบกับญี่ปุ่นแล้ว
ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯมีสภาพคล่องสูงกว่ามหาศาลโดยในปัจจุบันมูลค่าการซื้อขายของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอยู่ในระดับมากกว่า
500,000-600,000 ล้านดอลลาร์ต่อวัน
นอกจากนั้นแล้วพันธบัตรสหรัฐฯยังมีความสำคัญในแง่การเป็นดอกเบี้ยอ้างอิงในระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯและระบบเศรษฐกิจโลก
เป็นดอกเบี้ยอ้างอิงของโลก
อีกทั้งในตลาดการเงินระดับโลกพันธบัตรสหรัฐฯยังถูกใช้เป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงินระยะสั้นด้วย
ราคาพันธบัตรสหรัฐฯและค่าเงินดอลลาร์จึงมีความสัมพันธ์กันอย่างแยกกันไม่ออก หากเกิดผลกระทบกับตัวใดตัวหนึ่ง
อีกตัวก็ย่อมโดนตามด้วย
ต้องไม่ลืมว่าทั่วโลกทั้งกองทุนต่างๆและโดยเฉพาะธนาคารกลางนั้นล้วนมองว่าพันธบัตรสหรัฐฯเป็นหลักทรัพย์ที่ปลอดภัยมากที่สุดในโลกภายใต้เครดิตเรตติ้งAAAจากทุกสำนักซึ่งความหมายก็คือ ประเทศนี้จะจ่ายหนี้ตรงเวลาไปตลอดกาล
ไม่มีวันชักดาบ แต่หากสังเกตนับแต่ช่วงเดือนเมษายนต่อเนื่องมาถึงมิถุนายนนั้น
บริษัทเครดิตเรตติ้งยักษ์ใหญ่ไม่ว่าจะเป็นเอสแอนด์พี มูดี้ส์ หรือฟิทช์
ต่างออกมาขู่จะตัดเรตติ้ง AAA ของสหรัฐฯ
โดยเอสแอนด์พีประเดิมด้วยการปรับมุมมองเครดิตจากมีเสถียรภาพเป็นลบก่อน
แล้วตามมาด้วยการขู่ของมูดี้ส์และฟิทช์ในภายหลัง
และการที่เรตติ้งของสหรัฐฯถูกสั่นคลอนจนมาถึงกรณีนักการเมืองรีพับลิกันจู่ๆออกมาพูดถึงแนวคิดการเบี้ยวแบบหน้าด้านๆซึ่งแม้เพียงระยะสั้นแต่แน่นอนย่อมกระทบความน่าเชื่อถือของระบบการเงินและเศรษฐกิจของประเทศอย่างมหาศาลนั้น
จะมีสิ่งที่คล้ายๆกันอย่างหนึ่งก็คือ
ทุกๆครั้งที่มีการแตะต้องไปที่หนี้ก้อนใหญ่ในรูปพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯนั้น
นอกจากทุกคนจะไม่กล้าวิจารณ์ ตำหนิ หรือกดดันอย่างรุนแรงแบบที่เคยทำกับประเทศเล็กๆตั้งแต่ไทยจนมาถึงกรณีของกรีซนั้น
คนที่ออกมาให้ความเห็นในเรื่องนี้ก็เป็นพวกหน้าเดิมๆด้วยซึ่งก็คือ
ประเทศอีกกลุ่มหนึ่งที่ถือเป็นแกนหลักที่ค้ำระบบการเงินโลกผ่านการเป็นผู้ถือเงินดอลลาร์รายใหญ่อย่างจีน
ญี่ปุ่น และอาหรับนั่นเอง
แต่งานนี้ดูจะต่างจากเดิมเล็กน้อยเพราะที่ผ่านมาอาหรับมักจะไม่ค่อยแตะเรื่อเงินดอลลาร์มากอยู่แล้ว
เพราะเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ
แต่ในคราวนี้อาหรับก็เริ่มออกมาแง้มๆแล้วว่าเริ่มกังวลกับกรณีที่สหรัฐฯอาจชักดาบเบี้ยวหนี้
ขณะที่ฟากจีนก็ออกมาตำหนิอย่างรุนแรงกว่าเดิมมาก
และถึงกับบอกว่าท่าสหรัฐฯคิดชักดาบจริงๆจีนออกต้องมีการดำเนินมาตรการบางอย่างเพื่อ
“ยับยั้ง” ไม่ให้สหรัฐฯทำเช่นนี้
เพราะหากสหรัฐฯคิดเล่นเกมการเงินแบบอำมหิตเช่นนี้
ผู้ที่ขาดทุนและเจ็บตัวหนักที่สุดคงไม่แคล้วเป็นจีนที่ถือทุนสำรองเป็นดอลลาร์มหาศาล
และที่สำคัญจีนก็มักใช้ฐานะความเป็นเจ้าหนี้และผู้ครอบครองเงินดอลลาร์รายใหญ่เพื่อข่มขู่และบีบไม่ให้สหรัฐฯประพฤติตัวไม่เข้ารูปเข้ารอยหรือไร้ความรับผิดชอบ
ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมานักวิชาการด้านนโยบายการต่างประเทศหลายคนในสหรัฐฯต่างออกแสดงความกังวลว่า
หากสหรัฐฯเป็นหนี้ประเทศที่ทำตัวไม่เป็นมิตรกับสหรัฐฯนักเช่น จีน รัสเซีย
สหรัฐฯก็จะประสบปัญหาในการดำเนินนโยบายการต่างประเทศทันที
และเศรษฐกิจสหรัฐฯจะตกอยู่ในภาวะเสี่ยงมาก
สภาพของสหรัฐฯในปัจจุบันนับว่าอยู่ในฐานะย่ำแย่มาก
การที่สหรัฐฯยังมีการขาดดุลงบประมาณอยู่ย่อมแสดงให้เห็นว่า
ประเทศนี้จะมีการกู้หนี้ยืมสินเพิ่มขึ้นและไม่มีทางที่จะใช้คืนหนี้มาได้ง่ายๆแต่จะใช้วิธีกู้เงินมาหมุนใช้หนี้แทนและนั่นย่อมไม่มีการลดหนี้
สภาวะเช่นนี้ย่อมอยู่ได้ไม่นานและนั่นย่อมทำให้สหรัฐฯต้องพึ่งพาต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าแม้สหรัฐฯจะเป็นหนี้ท่วมหัวมากมาย
เงินดอลลาร์สหรัฐฯและพันธบัตรสหรัฐฯยังคงเป็นแกนหลักของโลกอยู่และทุกคนก็ยังหาทางเลือกอื่นที่ดีพร้อมทุกด้านเหมือนเงินดอลลาร์ไม่ได้
แต่สิ่งที่ต้องคิดพิจารณาต่อคือ
ในช่วงที่ผ่านมานั้นมีหลายปรากฏการณ์ในโลกการเงินที่เกิดขึ้นที่เข้าข่ายสิ่งที่มิใช่
“กลไกตลาด”
อย่างที่พร่ำสอนกันมาแต่ล้วนเกิดจากฝีมือมนุษย์ที่รวมหัวกันเป็นขบวนการในหมู่โจรก่อการร้ายทางการเงินที่มีการเชื่อมโยงกันทั่วโลกทั้งสถาบันการเงินใหญ่ๆและผู้ดำเนินนโยบายในตะวันตกที่ใช้อาวุธทางการเงินสารพัดชนิดเข้าครอบครองความมั่งคั่งของโลกในที่ต่างๆและใช้อาวุธทางการเงินเป็นเครื่องมือทำลายศักยภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของรัฐในช่วงกว่าค่อนศตวรรษที่ผ่านมา
และดูเหมือนว่าการชักดาบหนี้พันธบัตรของสหรัฐฯในครั้งนี้ก็มีการวางพล็อตเรื่องที่ดูเป็นขั้นเป็นตอนมาแต่ต้นตั้งแต่การออกมาลดมุมมองเครดิตของเอสแอนด์พีแล้ว
และด้วยความเชื่อมโยงกันของเครือข่ายโจรการเงินในWall
Street ที่มีแหล่งของมูลจากการรับทำธุรกรรมและบริหารเงินให้กับรัฐบาลทั่วโลก
มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับผู้มหาอำนาจใหญ่ๆเช่น ราชวงศ์อาหรับ
รวมถึงการมีคนของตัวเองนั่งเป็นผู้กุมนโยบายสำคัญเช่น เฟด กระทรวงการคลังสหรัฐฯ
เป็นต้น
เมื่อผนวกกับการเล่นแร่แปรธาตุทางการเงินผ่านเครื่องมือการเงินต่างๆโดยเฉพาะอนุพันธ์ทางการเงินและระบบการซื้อขายความเร็วสูง
ย่อมทำให้คนกลุ่มนี้อยู่ในฐานะที่ “ชนะ”
ตั้งแต่ยังไม่เปิดศึกก่ออาชญากรรมการเงินอยู่แล้ว เพราะการกุมกลไกทุกอย่างแบบเบ็ดเสร็จแต่แรก
หากมีการชักดาบเกิดขึ้นจริง
แน่นอนข้อมูลเหล่านี้ย่อมถึงมือโจรการเงินก่อนเพราะรู้จักกับนักการเมืองทุกพรรค
คนเหล่านี้สามารถสร้างความตระหนกมหาศาลได้ด้วยการถล่มตลาดพันธบัตรสหรัฐฯและสร้างความเสียหายได้ด้วยการเปิดฉากโจมตีในตลาดพันธบัตรล่วงหน้าก่อนไปพร้อมๆกับการใช้เครื่องมือที่เคยถล่มกรีซอย่างCDSเพื่อกดราคาพันธบัตรลงมา
และอาจตามด้วยการขายพันธบัตรที่ตัวเองถืออยู่ออกมาด้วย
และนั่นย่อมทำให้เกิดแรงขายจากทั่วโลก
การที่เกิดความไม่ชัดเจนหรือความตื่นกลัวต่อการล้มละลายของอเมริกาแม้เพียงชั่วโมงเดียว
ก็ย่อมสร้างความวิตกไปทั่วโลกได้ เงินดอลลาร์ หุ้น
และสินทรัพย์ต่างๆจะถูกถล่มขายแบบไม่ยั้งคิด
ธนาคารกลางทั้งหลายย่อมมีความหวาดหวั่นจนเทขายดอลลาร์ออกมาด้วย
ซึ่งนั่นย่อมทำให้ผู้ถือดอลลาร์ทั่วโลกขาดทุนยับหลายล้านล้านดอลลาร์ในพริบตาเดียว
และคนที่เจ็บตัวหนักสุดย่อมเป็นจีนหากหลงกลเทขายออกมาด้วยและนั่นจะยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์เข้าทางโจรการเงินเข้าไปอีก
แต่หากจีนไม่ขาย
แต่มีการแอบเจรจากันลับๆระหว่างรัฐบาลอเมริกาและประเทศใหญ่ๆอื่นๆทั้งจีน อาหรับ
ญี่ปุ่น บราซิล ไต้หวัน หรือกองทุนเอกชนบางแห่ง
จนได้ประเทศเหล่านี้จำใจสัญญาไปว่าจะยังคงหนุนดอลลาร์และพันธบัตรสหรัฐฯต่อไป
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ หากมีการรับรู้ข้อมูลนี้ล่วงหน้า
การแอบช้อนซื้อทั้งพันธบัตรและสินทรัพย์ต่างๆทั่วโลกเอาไว้ก็ย่อมสร้างกำไรมากมายมหาศาลในเวลาสั้นได้เช่นเดียวกัน
และนั่นเท่ากับว่าเหล่าโจรการเงินที่อาศัยเส้นสายและเครือข่ายอำนาจทั่วโลกก็จะทำการปล้นครั้งใหญ่จากมนุษย์ทั้งโลกได้ด้วยอาชญากรรมการเงินที่มีโอกาสเกิดขึ้นนี้ได้
ความเสียหายครั้งใหญ่นี้ย่อมเกิดกับประเทศที่ไม่รู้ทันเล่ห์การเงินเหล่านี้
แต่ไม่ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม
สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนก็คือ เงินดอลลาร์นั้นได้สูญเสียความน่าเชื่อถือครั้งใหญ่แล้วจากการที่มีท่าทีชักดาบเบี้ยวหนี้ออกมา
และการที่เกิดความไม่เชื่อมั่นต่อดอลลาร์ขึ้นมานั้น
หาใช่เหตุบังเอิญแต่เกิดขึ้นเป็นกระบวนการอย่างที่กล่าวมาแล้ว
ซึ่งนั่นจะยิ่งเพิ่มความปั่นป่วนสับสนในระบบการเงินไปเรื่อยๆ แต่นั่นก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เงินสกุลอื่นก็ยังแทนที่เงินดอลลาร์ในทันทีไม่ได้อยู่ดี
และเชื่อได้เลยว่าสงครามนี้จะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆและแน่นอนจะไม่มีแค่สหรัฐฯเท่านั้นที่ออกมาเดินเกมบุกเช่นนี้
เพราะการที่จีนกล้าบอกว่ามีวิธี “ยับยั้ง” ไม่ให้สหรัฐฯคิดเล่นเล่ห์เพื่อโกงระบบการเงินโลกนั้น
จีนเองก็ย่อมมีไพ่ตายที่หลายคนคาดไม่ถึงเช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่น่าคิดต่อไปคือ
สุดท้ายแล้วใครจะเป็นผู้ปิดเกมการเล่นสงครามดอลลาร์ในครั้งนี้
ซึ่งเชื่อว่าอีกไม่นานคงได้รู้ผล
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 1429 ครั้ง