กรณ์- แก้วสรร ออกโรงโต้ กลต.แถลงคดีซุกหุ้น ฟอกขาวยิ่งลักษณ์ และชินวัตร ยิ่งกว่าบกพร่องโดยสุจริต ระบุ “ธีระชัย” ล้ำเส้นตอบในเรื่องไม่ได้ถาม ข้องใจสร้างผลงานหวังเข้าตาใคร “อ.แก้ว” ขย่มอ้าง กม.คนละส่วน ลั่นเดินหน้าลุยต่อ
แถลงการณ์ของ ก.ล.ต.ที่ระบุว่า ยิ่งลักษณ์ และเครือข่ายตระกูลชินวัตร ไม่ผิดนั้น นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งข้อสังเกตว่า ไม่เข้าใจว่าอยู่ดีๆ ก.ล.ต.มาแถลงเรื่องนี้ทำไม เพราะไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้ ซึ่งกรณีนายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำเครือข่ายกลุ่มเสื้อหลากสี เรียกร้องก็เป็นคนละเรื่องกับที่ ก.ล.ต.ออกมาแถลง
“นายแก้วสรรไม่ได้พูดเรื่องเอสซี แอสเสท จะมาแถลงทำไม ไม่รู้ว่าบริบทไหน เพราะไม่มีใครพูดถึง สิ่งที่นายแก้วสรรและหมอตุลย์ตั้งประเด็นไว้คือ การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้การเท็จในคดีซุกหุ้นและยึดทรัพย์ ซึ่งมันพูดถึงการเป็นเจ้าของหุ้นชินคอร์ป ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์บอกกับศาลว่าเป็นของเขา แต่ศาลบอกว่าฟังไม่ขึ้น ผมคิดว่าไม่น่าเกี่ยวกับเรื่องที่นายธีระชัยออกมาพูดถึงเอสซี แอสเสท” นายกรณ์กล่าว
นายกรณ์ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า ไม่ทราบว่าการออกแถลงการณ์ของนายธีระชัย เป็นการทำเพื่ออะไร หรืออาจเป็นความพยายามทำงานให้เข้าตาใครบางคนหรือไม่ ซึ่งจะตรวจสอบเรื่องนี้ และหากมีอะไรเพิ่มเติมจะชี้แจงในนามพรรคต่อไป
ในขณะที่นายแก้วสรรมองเช่นกันว่า คำชี้แจงของ ก.ล.ต.เป็นเรื่องสร้างความสับสนอย่างมาก โดยเฉพาะการใช้ข้อกฎหมายและบรรทัดฐานการตรวจสอบการแจ้งการถือครองหุ้น เพราะกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ใช่เรื่องการไม่ได้แจ้งการถือครองหุ้นตามมาตรา 246 ที่ ก.ล.ต.ยกมาอ้าง แต่กรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นเรื่องการสนับสนุนการแจ้งเท็จ เพื่อปกปิดการถือครองหุ้นให้ พ.ต.ท.ทักษิณ
นายแก้วสรรยกตัวอย่างว่า เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณเข้าไปเล่นการเมืองแล้วโอนหุ้นต่างๆ ให้บุตร เช่น นายพานทองแท้ ชินวัตร ซึ่งนายพานทองแท้ต้องแจ้งต่อตลาดเพราะถือหุ้นเกิน 5% แต่กรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ไม่ต้องแจ้งเพราะถือไม่เกิน 5% แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นเรื่องการแจ้งเท็จ เพราะแม้ไม่ต้องแจ้ง แต่สนับสนุนการปกปิดการถือครองหุ้นของพี่ชายในบริษัทตลาดหลักทรัพย์ฯ
“ที่ ก.ล.ต.ยกมาอ้างเป็นคนละส่วนกันเลย อ้างแบบนี้เป็นการใช้กฎหมายไม่ตรงจุดสำคัญ ก.ล.ต.ต้องไปดูเรื่องโครงสร้างผู้ถือหุ้นเป็นหลัก ว่าใครคือผู้ถือครองหุ้นที่แท้จริง แม้เขาแจ้งว่าโอนหุ้นไปหมดแล้ว แต่จริงๆ ก็คือหุ้นทั้งหมดในบริษัทยังเป็นของคนในครอบครัวและตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้น คนท.จะเดินหน้าต่อไป และจะรอดูว่า ก.ล.ต.จะเอาอย่างไร ยุติกันแบบนี้เลยหรือ เพราะมันก็เห็นอยู่แล้วว่าอ้างคนละมาตราความผิด เราก็จะไปยื่นให้เอาผิดกับหน่วยงานอื่นๆ เช่น ป.ป.ช. โดยยื่นเอาผิดต่อตัวบุคคลเลย”นายแก้วสรรกล่าว
ทั้งนี้ (ก.ล.ต.) ได้ออกแถลงการณ์แจงกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ถือครองหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แล้ว ระบุว่า ก.ล.ต.ได้ตรวจสอบข้อมูลโดยละเอียดที่อยู่ในขอบเขตอำนาจหน้าที่แล้ว มีรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง 2 ประเด็น คือ 1.ประเด็นสืบเนื่องจากการศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่า การถือหุ้นในบริษัทชินคอร์ปของบุคคล 4 ราย ซึ่งรวมถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ และบริษัท แอมเพิล ริช อินเวสต์เมนต์ จำกัด เป็นการถือหุ้นแทน พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร บุคคลที่ถือหุ้นแทนจะถือว่ามีการรายงานการซื้อขายหลักทรัพย์อันเป็นเท็จหรือไม่ และ 2.ประเด็นสืบเนื่องจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ชี้แจงต่อ ก.ล.ต.เมื่อ มี.ค.49 ว่าครอบครัวชินวัตรไม่มีความเกี่ยวข้องกับกองทุน 2 แห่ง หรือเกี่ยวข้องกับบริษัท วินมาร์ค จำกัด ซึ่งถือหุ้นในบริษัท เอสซี แอสเสท จำกัด (มหาชน) และชินคอร์ปด้วย แต่จากผลการตรวจสอบ ก.ล.ต.พบหลักฐานว่าเจ้าของที่แท้จริงคือ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ดังนั้น คำชี้แจงจะถือว่าเข้าข่ายมีความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 หรือไม่
สำหรับประเด็นแรกนั้น เมื่อศาลได้พิพากษายึดทรัพย์เมื่อวันที่ 26 ก.พ.53 ก.ล.ต.ได้กล่าวโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แล้ว ตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย.53 ข้อหาว่าไม่รายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ ตามมาตรา 246 แห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ซึ่งครอบคลุมถึงการรายงานอันเป็นเท็จทั้งในปี 2543-2544 และการขายในปี 2549 ด้วย แต่ดีเอสไอเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง และต่อมาพนักงานอัยการก็มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องบุคคลทั้งสองในกรณีนี้แล้วเช่นกัน ส่วนกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น มีจำนวนหุ้นที่เกี่ยวข้องต่ำกว่า 5% จึงไม่มีหน้าที่ต้องยื่นรายงานใดๆ ตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว
“การกล่าวโทษดังกล่าว ก.ล.ต.ดำเนินการภายหลังจากที่มีคำพิพากษาของศาลฎีกา โดยได้ส่งพยานหลักฐานทั้งหมดให้ดีเอสไอและคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงถือได้ว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ครบถ้วนแล้ว”แถลงการณ์ชี้แจง
ส่วนประเด็นที่ 2 ก.ล.ต.ไม่สามารถดำเนินการต่อได้ เนื่องจากไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 238 แห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ เพราะข้อเท็จจริงกรณีนี้เป็นเรื่องเฉพาะที่เกี่ยวกับการถือหุ้น มิใช่ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับบริษัทหรือราคาซื้อขาย จึงไม่เข้าลักษณะความผิดที่กฎหมายกำหนดไว้ รวมทั้งการชี้แจงดังกล่าวเกิดขึ้นในขั้นตอนทั่วไปที่ ก.ล.ต.สอบถาม ไม่ใช่การชี้แจงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ จึงไม่ใช่ความผิดที่ ก.ล.ต.จะใช้อำนาจกฎหมายดำเนินการได้ตาม มาตรา 302
สำหรับกรณีการปกปิดโครงสร้างการถือหุ้นในบริษัท เอสซี แอสเสทฯ ตามประเด็นที่ 2 ก.ล.ต.ได้รวบรวบหลักฐาน และส่งเรื่องไปยังดีเอสไอเมื่อวันที่ 19 มี.ค.50 ซึ่งมีความเห็นควรฟ้องบริษัทและนางบุษบา ดามาพงศ์ ในฐานะกรรมการ ตามมาตรา 278 และควรสั่งฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ตามมาตรา 246 และ 247 ซึ่งปัจจุบันคดีได้ยุติแล้ว เพราะอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องบุคคลทุกรายดังกล่าว
“ด้วยข้อเท็จจริงดังกล่าว ก.ล.ต.ได้ดำเนินการในเรื่องเกี่ยวข้องกับคำพิพากษาศาลฎีกา หรือการถือหุ้นของครอบครัวชินวัตรในบริษัทชินคอร์ป และบริษัท เอสซี แอสเสทฯ ตามอำนาจหน้าที่แล้ว และได้รายงานให้คณะกรรมการ ก.ล.ต.ทราบในการประชุมเมื่อวันที่ 6 พ.ค.แล้ว แต่หากปรากฏว่าข้อมูลใดใหม่ ก.ล.ต.ก็พร้อมพิจารณาเรื่องเหล่านี้อีกครั้ง” แถลงการณ์ระบุทิ้งท้าย
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 1114 ครั้ง