ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์สำหรับการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง หลังการเคลื่อนพลจากต่างจังหวัดเข้าสู่กรุง ยึดพื้นที่สะพานผ่านฟ้าฯ เป็นศูนย์กลาง
ทำสงครามไพร่ขับไล่รัฐบาล-อำมาตย์ สถานการณ์จะลงเอยอย่างไรยังไม่มีใครสรุปได้ชัดเจนในตอนนี้ แต่ถ้ามองกันแค่ในรอบ 7 วันที่ผ่านมาต้องยกเครดิตส่วนหนึ่งให้กับแกนนำนปช. ที่สามารถควบคุมการชุมนุมของคนเรือนหมื่นเรือนแสนให้อยู่ในกรอบของสันติวิธีไม่มีการใช้ความรุนแรงอย่างที่ฝ่ายรัฐบาลพยายามวาดภาพให้สังคมตื่นกลัวในช่วงก่อนการชุมนุม
ส่วนที่หลายคนเกรงจะซ้ำรอยกับเหตุการณ์สงกรานต์เลือดเมื่อปีที่แล้วหรือการชุมนุมของกลุ่มเสื้อเหลืองที่ใช้มีดไม้อาวุธบุกเข้ายึดสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ทำเนียบรัฐบาลและสนามบิน สร้างความเสียหายย่อยยับให้กับประเทศในทุกด้าน
ถึงตอนนี้คงเบาใจได้พอสมควร กระนั้นก็ตามการที่แกนนำนปช.ไม่สามารถระดมมวลชนได้มากตามเป้าหมายที่ตั้งไว้นอกจากจะลดแรงกดดันที่พุ่งตรงเข้าใส่รัฐบาลแล้ว อีกทางหนึ่งยังเป็นการบีบบังคับให้แกนนำนปช.เองต้องปรับตัวตามสถานการณ์ หันมาใช้ยุทธวิธีรบ”ยืดเยื้อ”แทนการรบแบบ”แตกหัก”ตรงจุดนี้เองอาจมีผลกระทบต่อจำนวนผู้ร่วมชุมนุมทั้งนี้ เพราะกำลังคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมส่วนใหญ่มาจากต่างจังหวัด ตระเตรียมเสบียงกรังและหัวจิตหัวใจมาเพื่อ”ปิดเกมเร็ว”ตามที่แกนนำนปช.ประกาศก่อนหน้านี้
แต่เมื่อถึงเวลาไม่สามารถเผด็จศึกรัฐบาลได้อย่างรวบรัดบางส่วนจึงต้องถอยกลับไปตั้งหลักและยังไม่แน่ว่าจะกลับมาอีกหรือไม่ด้วยเหตุนี้แกนนำนปช.จึงต้องหันมาขอแรงหนุนจากคนกรุงจัดทัพเดินรณรงค์”รักคนกรุงเทพฯ รักประเทศไทย” กวักมือชักชวนเจ้าของบ้านออกมาร่วมกับคนเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าฯแทนการยืนโบกไม้โบกมือให้กำลังใจอยู่แต่บนสะพานลอยหรือริมฟุตปาธหันมาดูยุทธศาสตร์การรับมือในซีกฝ่ายรัฐบาล
ตั้งแต่ม็อบเสื้อแดงเคลื่อนทัพเข้ากรุง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ก็ต้องแพ็กกระเป๋าเสื้อผ้าย้ายเข้าไปอยู่เซฟเฮาส์ในกรมทหารราบที่ 11 รักษพระองค์ (ร.11 รอ.) ที่ตั้งของศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ร่วมกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ด้านความมั่นคงคอยเกาะตแก้เกมความเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงทุกฝีก้าวสถานการณ์รอบ 7 วันที่ล่อแหลมต่อการปะทะรุนแรงมากที่สุด คือจังหวะที่กลุ่มคนเสื้อแดงยกขบวนไปปิดหน้าราบ 11 ทวงคำตอบเรื่องยุบสภาตามด้วยการประกาศมาตรการยกระดับการต่อสู้ เจาะเลือดคนเสื้อแดงกันเองนำไปเทหน้าทำเนียบรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ และบ้านพักนายกฯกระทั่งผลออกมาว่าสังคมส่วนใหญ่มองการ “เทเลือด” เป็นสัญลักษณ์ความรุนแรง มากกว่าเป็นสัญลักษณ์ของสันติวิธีเลยทำให้ภาพการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงออกมาเป็นลบมากกว่าบวก แต่นั่นยังไม่เสียหายเท่ากับเป็นการเปิดช่องให้รัฐบาลนำมาขยายผลโจมตีกลุ่มเสื้อแดงเป็นม็อบกระหายเลือดในจังหวะสอดรับกับการปล่อยข่าวอ้างข้อมูลจากหน่วยข่าวกรองสหรัฐ ได้จากการดักฟังโทรศัพท์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะสั่งการ”แดงฮาร์ดคอร์” ก่อวินาศกรรมป่วนเมือง
ตามติดด้วยข้อมูลของ”เทพเทือก” เรื่องท่อน้ำเลี้ยงก๊อกสองจากนายใหญ่ต่อด้วยนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกฯ ออกมาปูดแผนลอบสังหารนายกฯอภิสิทธิ์ผลัดกันเปิดปมดิสเครดิตคนเสื้อแดงไม่ยั้งตอกย้ำคำตอบชัดๆ ของนายอภิสิทธิ์ ที่ว่าจะไม่ยอมยุบสภาภายใต้พฤติกรรมการข่มขู่ของใครถึงจำนวนคนผู้เข้าร่วมชุมนุมจะเริ่มหดหายไปบ้างเทียบกับการชุมนุมในช่วงแรกๆแต่การที่แกนนำนปช.ปรับเปลี่ยนยุทธวิธีการต่อสู้แบบม้วนเดียวจบ มาเป็นการต่อสู้แบบยืดเยื้อก็ยังเป็นปัญหาสำหรับรัฐบาลที่ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการรับมือตามจริงอยู่ด้วยข้อจำกัดหลายอย่าง คนเสื้อแดงไม่สามารถปักหลักชุมนุมกลางถนนเช่นนี้ได้ตลอดไป
ขณะเดียวกันก็เชื่อว่านายอภิสิทธิ์ คงไม่คิดย้ายที่ทำงานไปอยู่ในราบ 11 แบบถาวรเช่นเดียวกัน อีกทั้งต้องไม่ลืมด้วยว่าเสื้อแดงที่มาชุมนุมมีภารกิจเดียวต้องทำนั่นคือการขับไล่รัฐบาลแต่หน้าที่รัฐบาลไม่ใช่แค่การอยู่เพื่อประลองความอึดกับม็อบเสื้อแดงเท่านั้นการปล่อยให้กลุ่มคนจำนวนมากยึดพื้นที่สาธารณะใจกลางกรุงเทพฯ และพร้อมออกดาวกระจายถือตีนตบตะโกนขับไล่นายกฯ ในทุกที่ ความเสียหายไม่ใช่จะเกิดกับตัวนายกฯ และรัฐบาลที่ไม่สามารถทำงานได้
ในระยะยาวย่อมส่งผลกระทบถึงประชาชนและประเทศชาติในทุกด้าน เหมือนบทเรียนที่ประ เทศเคยได้รับจากการชุมนุมของคนเสื้อเหลืองมาแล้วสิ่งที่น่าจะเป็นในสถานการณ์ที่”ยัน” กันอยู่ รัฐบาลจึงมีหน้าที่ต้องแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงซึ่งวิธีการที่นักวิชาการ นักสันติวิธีและนักสิทธิมนุษยชนเริ่มพูดถึงกันมากในขณะนี้นั่นคือรัฐบาลต้องเป็นฝ่ายนำในการยุติสงครามด้วยการเจรจาและต้องไม่เป็นผู้สร้างเงื่อนไขในการเปิดเจรจาครั้งนี้เสียเอง
การคิดเพียงแต่จะให้เวลาเป็นตัวแก้ไขสถานการณ์ ให้ม็อบเสื้อแดงฝ่อไปเอง โดยอาศัยข้อกฎหมายคอยตอดนิดตอดหน่อยอย่างเช่นการดำเนินคดีกับคนเสื้อแดงที่นำเลือดไปปาใส่บ้านพักเรื่องยิบย่อยแบบนี้อาจทำให้สถานการณ์ถูกเร่งเร้าให้บานปลายมากขึ้น
การที่แกนนำคนเสื้อแดงตัดสินใจแล้วว่าจะชุมนุมยืดเยื้อนั่นหมายความว่าช่วงเวลาวิกฤตการเมืองก็จะต้องยืดยาวออกไปด้วยเช่นกันและคนที่จะเป็น”ผู้นำ”ในการดับวิกฤตครั้งนี้อย่างแรกคือต้องกล้าออกมาเผชิญหน้ากับปัญหาเสียก่อน
ที่มา:ข่าวสดรายวัน
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 1221 ครั้ง