เสื้อแดง ยังสาวไส้กันเองไม่เลิก “ชินวัฒน์” ลั่นรับไม่ได้ “ธิดา” เผด็จการ ทำตัวเป็นเจ้าของมวลชนแต่ผู้เดียว ยืนยันให้ลาออกจากรักษาการประธาน ขณะที่กสม.เลื่อนเผยผลสอบแดงเผาเมือง
ชินวัฒน์ / ธิดา
นายชินวัฒน์ หาบุญพาด แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้กล่าวชี้แจงกรณีขัดแย้งกับนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธานนปช.ว่า เมื่อวันที่ 6 ก.ค. แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์ ประกอบด้วย พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ และตน ได้แจ้งให้นางธิดาลาออกจากการเป็นรักษาประธานนปช.เนื่องจากทางแกนนำส่วนใหญ่รู้สึกไม่พอใจในพฤติกรรมของนางธิดาที่มีความเป็นเผด็จการมากเกินไป ไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
“เมื่อวานนี้ที่เข้าพบอาจารย์ธิดา ก็มาทุบโต๊ะใส่ผมอีก ไม่พอใจ โดยบอกว่า จะขอคุยกับตู่ก่อน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า จะได้คุยกันอย่างไร อาจารย์ธิดาควรจะรับฟังคนอื่นบ้าง พฤติกรรมทุบโต๊ะเนี่ยสร้างความเสื่อมเสียให้กับเขาเอง ผมเป็นคนไม่โกหกใคร เราต้องรักษาองค์กรไว้ อย่าให้คนเสื้อแดงเสื่อมศรัทธา ที่สำคัญ องค์กรเสื้อแดงไม่ใช่ของใคร แต่เป็นของมวลชน แกนนำแค่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนให้ไปข้างหน้า เมื่อไม่ถูก ก็ต้องเปลี่ยนคนขับ เราจะไม่ทุบรถยนต์ แต่คุณควรจะลงไป เราไม่ได้แตกแยก แต่เป็นการปฏิรูปโครงสร้างองค์กร แต่ถ้ายังทำตัวเป็นเผด็จการเสียเอง แล้วเราจะไปสอนใคร เขาควรพิจารณาตัวเองได้แล้ว”นายชินวัฒน์กล่าว
นอกจากนี้นางธิดา ยังทำตัวเหมือนกับเป็นเจ้าของมวลชนคนเสื้อแดงแต่เพียงผู้เดียว ทั้งๆที่แกนนำกลุ่มมีบุคคลหลายกลุ่ม หลายพวกที่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน แต่นางธิดากลับอ้างชื่อ น.พ.เหวง โตจิราการ ในการเข้าไปแทรกแซงทางความคิดและชี้นำคนเสื้อแดงกลุ่มต่างๆ ซึ่งความจริงนางธิดาควรจะมีสปิริตในการดำเนินกิจกรรมโดยไม่อ้างอิงกับบทบาทการเป็นแกนนำและส.ส.พรรคเพื่อไทยของสามี
นายชินวัฒน์กล่าวอีกว่า กลุ่มคนเสื้อแดงตั้งนางธิดาให้เป็นรักษาการประธานนปช.แทน นายวีระกานต์ มุสิกพงษ์ เนื่องจากไม่ต้องการให้การเคลื่อนไหวเป็นสูญญากาศ เพราะแกนนำหลายคนถูกจับกุมคุมขัง แต่เมื่อนางธิดาไม่ปรับปรุงตัว แกนนำนปช.ที่รับผิดชอบภาคอีสานและภาคเหนือจะแยกตัวเป็นอิสระ เคลื่อนไหวจัดกิจกรรมในพื้นที่รับผิดชอบโดยไม่ร่วมประชุมกับนางธิดา ซึ่งเป็นมาตรการหนึ่งในการกดดันนางธิดา
นายชินวัฒน์กล่าวต่อว่า พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของนางธิดายังมีอีกมาก เช่น เวลาประชุมแกนนำ นปช. หลายคนอึดอัดพอสมควร เพราะนางธิดามีพฤติกรรมเผด็จการสุดโต่ง ใครคิดเอาไม่ถูกใจ เขาฉีกทิ้งหมด เขาบังคับได้
“แม้กระทั่ง นพ.เหวง โดยเมื่อ นพ.เหวงจะขอพูด นางธิดายังชี้หน้า สั่งห้ามพูด จน นพ.ยังไม่กล้าอ้าปากพูด แล้วอย่างนี้จะไปสอนใครในเรื่องประชาธิปไตยการรับเสียงที่แตกต่างได้อย่างไร อะไรๆ ก็ต้องตัดสินใจตามข้าพเจ้า ทำตัวเป็นนางเอก” นายชินวัฒน์ระบุไว้ชัด
เขายังบ่นว่า เมื่อพรรคชนะเลือกตั้งก็เหมือนกับว่าหลายคนในพรรคเพื่อไทยก็อายที่จะบอกว่าเป็นคนเสื้อแดง แม้แต่คำขอบคุณคนเสื้อแดงยังไม่มีเลย ไม่ได้ตำหนิ แต่ความจริงมันเป็นอย่างนั้น บางคนในพรรคเพื่อไทยยังออกมาบอกว่า แกนนำ นปช.รับตำแหน่งไม่ได้เพราะเป็นสายล่อฟ้า แสดงว่าคนเสื้อแดงมีหน้าที่หาคะแนนให้กับพรรคเพื่อไทยอย่างเดียวหรือ ไม่เหมาะสมที่จะได้ตำแหน่งรัฐมนตรี
“เหวง” ชูเมียคือประชาธิปไตย
ด้าน นพ.เหวง โตจิราการ ว่าที่ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า คนที่คิดจะเปลี่ยนตำแหน่งนางธิดา เป็นเพราะเขาอยากจะขึ้นมาเอง มีคนบางส่วนต้องการมากุมอำนาจ นปช. หรืออิจฉาริษยาความสำเร็จของนางธิดา น่าเสียใจที่เขาควรแก้ปัญหาในองค์กร ไม่ควรพูดนอกองค์กร ถ้าคนในองค์กรเห็นควรเปลี่ยนประธานก็ต้องเปลี่ยน แต่ถ้าคนในองค์กรเห็นว่าไม่ควรเปลี่ยน ก็ต้องเคารพความเห็นในองค์กร การโจมตีข้างนอกผ่านสื่อแสดงว่าเขาไม่สามารถเอาชนะในที่ประชุมได้
“ถ้าจริงใจต่อการต่อสู้ ก็ต้องถนอมองค์กรไว้ ถ้ามาสร้างความแตกแยกโค่นล้มอาจารย์ธิดา สะท้อนว่าจริงๆ แล้วจริงใจในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยหรือไม่” สามีนางธิดากล่าว
สำหรับผลการเลือกตั้ง มีแกนนำคนเสื้อแดงในนามพรรคเพื่อไทยด้ตบเท้าเดินหน้าเข้าสภา 13 คน จาก 265 เสียงของพรรคเพื่อไทย โดย ส.ส.บัญชีรายชื่อ มีถึง 13 คน ประกอบด้วย 1.จตุพร พรหมพันธุ์ 2.ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ 3.พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก 4.พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย 5.นพ.เหวง โตจิราการ 6.รพิพรรณ พงศ์เรืองรอง 7.ขัตติยา สวัสดิผล 8.วิภูแถลง พัฒนภูมิไท 9.พายัพ ปั้นเกตุ 10.เยาวนิตย์ เพียงเกษ 11.ก่อแก้ว พิกุลทอง 12.วิเชียร ขาวขำ และ 13.จารุพรรณ กุลดิลก
เห็นชื่อแล้วล้วนแต่เป็นพวกไม้เบื่อ ไม้เมากับพรรคประชาธิปัตย์แทบทั้งสิ้น ตั้งแต่คราวศึก “ผ่านฟ้า-ราชประสงค์” โดยเฉพาะ “เสี่ยเต้น” ณัฐวุฒิ ถือว่า หวังเสียที หลังจากรอคอยโอกาสเข้าสภามาเป็นเวลานาน
เช่นเดียวกับ “นพ.เหวง” ไม่คาดคิดว่าครั้งหนึ่งจะเคยเป็นคนออกมาไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ในนามคนเสื้อเหลือง และพยายามจะผลักดันตัวเองเข้ามาในสภาในนามสมาชิกวุฒิสภา แต่ก็ติดๆ ขัดๆ ไปหมด แต่เมื่อได้มาเดินบนเส้นทางสีแดง ก็กรุยทางเข้าสู่ฝ่ายนิติบัญญัติเรียบร้อย ไม่ต่างอะไรกับ “เดียร์” ขัตติยา สวัสดิผล ลูกสาว เสธ.แดง-พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก
แม้ว่าในอดีตจะเคยออกมาไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ เหมือนกับ นพ.เหวง แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ลอบสังหาร พล.ต.ขัตติยะ ก็ทำให้ลูกสาวทหารรายนี้เลือกเดินถนนสายสีแดง เพื่อสานต่ออุดมการณ์ของบิดาต่อไป แม้จะไม่ได้อยู่ในฐานะแกนนำแดงก็ตาม
“วิภูแถลง” ก็เป็นอีกคนที่เข้ามาในสภา ในฐานะเครือข่ายคนรัก พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างแท้จริง เพราะในอดีตเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ และแนวร่วมกับกลุ่มวิทยุชุมชนคนรักทักษิณ ที่มีวัตถุประสงค์ต่อต้านคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ผู้โค่นล้มอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการเฉพาะ
ส่วน “ก่อแก้ว” เป็นที่ทราบกันดีว่า คือสายพิราบในกลุ่มแกนนำคนเสื้อแดง โดยเป็นหนึ่งในแกนนำที่เสนอให้ยุติการชุมนุมในช่วงก่อนสลายการชุมนุม 19 พ.ค. 2553 เพื่อป้องกันความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินที่อาจจะเกิดขึ้น แต่สุดท้ายก็เป็นได้เพียงเสียงข้างน้อยในกลุ่มแกนนำ
ด้าน “รพิพรรณ” แค่เห็นนามสกุลก็ร้องอ๋อกันสภา เพราะเป็นภรรยา “อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง” แกนนำเสื้อแดงคนสำคัญ ที่เจ้าหน้าที่รัฐกำลังติดตามตัวอยู่ ซึ่งล่าสุดได้เตรียมประสานเข้าขอมอบตัวแล้ว “เยาวนิตย์” คือภรรยา “อดิศร” อดีตผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ของคนเสื้อแดง
ปิดท้ายด้วย “วิเชียร” รอบนี้ได้เป็น สส.บัญชีรายชื่อ หลังจากก่อนหน้านี้เป็นอดีต สส.อุดรธานี เริ่มได้รับความสนใจจากสังคมเมื่อคราวแสดงพฤติกรรมไม่พึงกระทำในสภา ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา ด้วยคำพูดต่อว่าอีกฝ่ายที่พาดพิงถึงบุพการี
ขณะที่ในส่วน สส.ระบบเขต ได้รับเลือกตั้ง 2 คน คือ “วรชัย เหมะ” อดีตโฆษกเวทีเสื้อแดง สส.เขต 4 สมุทรปราการ และ “จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ” ผู้สมัคร สส.สุรินทร์ เขต 6 กำลังควงแขนใส่สูทเข้ามาในสภาพร้อมกัน
โดยในรายของ “จ่าประสิทธิ์” ถือว่าน่าสนใจมาก เพราะสามารถฝ่าด่าน “ธีระทัศน์ เตียวเจริญโสภา” อดีต สส.ของพรรคชาติไทยพัฒนามาได้ ส่วนบทบาทในนามคนเสื้อแดงไม่มีมากนัก ไม่ได้มีส่วนในการตัดสินใจ หรือกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหว โดยทำหน้าที่ประสานงานกับเครือข่ายตามภูมิภาคต่างๆ มากกว่า ซึ่งมาพร้อมกับเอกลักษณ์สำคัญคือ การแต่งกายด้วยสีแดงทั้งตัว
คงต้องรอดูบุคคลเหล่านี้ที่เคยเคลื่อนไหวนอกสภา เมื่อเข้ามาในสภาแล้วจะแสดงบทบาทได้เหมือนกับการเคลื่อนไหวข้างถนนได้หรือไม่ หรือจะเป็นเพียง สส.คนหนึ่งที่ไม่มีปากมีเสียงภายใต้ระบบพรรคการเมืองเท่
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 1897 ครั้ง