ป.ป.ช.ชะลอฟัน”มาร์ค-กรณ์”ส่งsms ขอไต่สวนเพิ่ม ลงมติเชือด”แม้ว-สุชาติ” 6ต่อ2ร่วมทุจริตฟื้นฟูทีพีไอ
เมื่อเวลา 11.15 น. วันที่ 16 ก.ค. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้มีการแถลงถึงการพิจารณาคดีถอดถอนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กรณีขอให้บริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 ราย ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส บริษัท โทเทิ่ล แอคเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน)หรือดีแทค และบริษัท ทรู มูฟ จำกัด ส่งข้อความสั้นหรือเอสเอ็มเอสให้กับประชาชน จำนวน 17.2 ล้านหมายเลข โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ อันอาจเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 .มาตรา 103 ที่ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด มูลค่าเกิน 3 พันบาท ซึ่งการแถลงดังกล่าวมีนายกล้านรงค์ จันทิก โฆษก ป.ป.ช.เป็นผู้แถลง
โฆษก ป.ป.ช.แถลงว่า จากการไต่สวนผู้ให้บริการมือถือทั้ง 3 เครือข่ายให้ถ้อยคำว่า การส่งเอสเอ็มเอสดังกล่าวได้ระบุให้ตำแหน่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ส่ง และเห็นว่าเป็นการช่วยเหลือกับทางราชการ มิใช่เป็นการส่งในฐานะส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์ และยังไม่มีการกำหนดเรื่องใช้จ่ายหรือค่าตอบแทนในการดำเนินการ เพราะไม่ใช่ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ และที่ผ่านมาบริษัทมือถือทั้ง 3 เครือข่ายก็ให้ความร่วมมือกับทางราชการมาโดยตลอด เช่น การประชาสัมพันธ์การจัดประชุมเอเปค เมื่อปี 2546 การแจ้งข่าวภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือวิกฤตการณ์แพร่กระจายของโรคระบาด การแจ้งข่าวรัฐประหาร การประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธี และการประชาสัมพันธ์เลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นต้น
นายกล้านรงค์ แถลงว่า ป.ป.ช.จึงพิจารณาแล้วเห็นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญสมควรจะได้พิจารณาด้วยความละเอียดรอบคอบ อีกทั้งยังมีประเด็นตามคำร้องให้ไต่สวนสอบข้อเท็จจริงเพิ่ม คือ ผู้มีใช้โทรศัพท์จำนวนหนึ่งส่งข้อความกลับไปยังหมายเลขในข้อความ ทำให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์มีรายได้ครั้งละ 3 บาท ได้มีการดำเนินการช่วยเหลือหรือเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ให้บริการโทรศัพท์ เพื่อมิให้มีการเรียกเก็บภาษีเงินได้ดังกล่าวหรือไม่
“จึงมีมติมอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการไต่สวนในประเด็นดังกล่าวเพิ่มเติมก่อน โดยคาดว่าจะไต่สวนทั้งหมดได้ในเร็ววันนี้” นายกล้าณรงค์ กล่าว
ทั้งนี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ได้ประชุมลงมติ 6 ต่อ 2 ชี้มูลว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนาย”สุชาติ เชาว์วิศิษฐ” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีความผิดฐานทุจริตกรณีบริหารแผนฟื้นฟูกิจการ ทีพีไอ.ของนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์
นายสุชาติ ได้เสียชีวิตไปแล้ว ด้วยโรงมะเร็ง 22 ตุลาคม 2552 ดังนั้น จึงต้องยกคำร้องกรณีนายสุชาติ ดำเนินการต่อได้เฉพาะ รายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 1618 ครั้ง