วันที่ 5 กันยายนเวลา 19.00 น. นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย คณวัฒน์ วศินสังวร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นางสาวสุณีย์ เหลืองวิจิตร เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้เปิดแถลงหลังการประชุมกรรมการบริหารพรรค กรณี ข้อเสนอแผนปรองดอง5ข้อ
นายยงยุทธแถลงว่า ตามที่พรรคออกแถลงการณ์ในการสร้างความปรองดองซึ่งทำให้หลายฝ่ายออกมาตอบรับถึงแนวทางดังกล่าว วาระสำคัญของกาประชุมวันนี้คือการสร้างความปรองดองแห่งชาติ โดยพรรคยืนยันจุดยืนของพรรคมาโดยตลอดคือประชาธิปไตย ความยุติธรรม ความเท่าเทียม พรรคเห็นว่าความแตกแยกของบ้านเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันแก้ไข กรรมการบริหารพรรคจึงมีมติดังนี้
1.พรรคขอสนับสนุนแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติเพื่อนำความสุขกลับมาสู่ประเทศไทย 2.พรรคขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนร่วมกันสร้างความเป็นประชาธิปไตย ความยุติธรรม ความเท่าเทียมกันให้เกิดขึ้นในประเทศ 3.พรรคไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงและการสร้างสถานการณ์เพื่อประโยชน์ทางการเมือง
4.พรรคขอเรียกร้องอย่างจริงจังให้ทุกฝ่ายร่วมกันถวายความจงรักภัดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เป็นที่ประจักษ์และหยุดกระทำการใดๆอันอาจเป็นการที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท 5.ขั้นตอนต่อไปของพรรค หัวหน้าพรรคและคณะผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจะเป็นผู้ดำเนินการในการเจรจาและติดต่อประสานงานเพื่อให้แนวทางการปรองดองเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย
นายพร้อมพงศ์กล่าวเสริมว่า วันที่6ก.ย. กรรมการบริหารพรรคจะนำมติกรรมการบริหารพรรคเข้าที่ประชุมคณะกรรมการประสานกิจกรรมพรรค ที่มี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นประธานเพื่อหารือก่อนเพื่อกำหนดบุคคลที่จะไปประสานงานกับรัฐบาล และเมื่อสรุปแล้วจะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมส.ส.พรรคในวันที่7ก.ย.ต่อไป
เมื่อถามว่า พรรคจะขอนัดพบรัฐบาลเองเลยหรือไม่เพราะคล้ายว่า รัฐบาลอยากให้ฝ่ายค้านนัดเจรจาโดยอ้างว่าขอดูความจริงใจ นายยงยุทธกล่าวว่า เรื่องนี้ปรบมือข้างเดียวไม่ได้ มันต้องร่วมมือกับทุกฝ่าย
ทั้งนี้ที่ประชุมพรรคได้มอบให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย และนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค เป็นคนนำคณะเจรจาประมาณ 4-5 คน เป็นตัวแทนพรรค ส่วนนายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทยและแกนนำนปช.ที่พรรคอยากส่งไปเป็นคณะเจรจาด้วยแต่ต้องดูกระแสและฝ่ายตรงข้ามว่าจะยอมรับนายจตุพรด้วยหรือไม่ เพราะหากนายจตุพรเข้าร่วมคณะเจรจาด้วยนั้นอาจจะเป็นการถูกกล่าหาว่าฮั้วทางการเมือง และนายจตุพรเองจะตัดสินใจอย่างไร ทั้งนี้หลังจากที่นายกฯกลับมาจากประเทศจีนน่าจะมีความชัดเจนในเรื่องนี้
วันที่ 6 กันยายน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย (พท.) เสนอแผนปรองดองต่อรัฐบาล ว่า ส่วนตัวยังไม่เห็นข้อเสนอดังกล่าวและยังไม่มีการติดต่อประสานพูดคุยแต่อย่างใด
นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายรัฐมนตรี คาดว่าวันนี้รัฐบาลจะมีความชัดเจนมากขึ้นต่อแผนการปรองดอง 5 ข้อตามที่พรรคเพื่อไทย(พท.)เสนอมา
นายปณิธานย้ำว่ารัฐบาลพร้อมจะสนับสนุน หากการพูดคุยเจรจาในเรื่องดังกล่าวไม่ได้อิงประโยชน์ส่วนตัว
“ในหลักการยินดีทำงานกับฝ่ายค้านผ่านโครงสร้างสภาฯ ส่วนการประสานงานกันคาดว่าจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ถ้าทำงานร่วมกันโดยไม่คิดประโยชน์ส่วนตัว รัฐบาลก็ยินดีทำงานร่วมกับทุกคน”โฆษกรัฐบาล กล่าว
นายปณิธาน กล่าวต่อว่า รัฐบาลต้องขอพิจารณารายละเอียดในแผนปรองดองของพรรคเพื่อไทยก่อน แต่เบื้องต้นเห็นว่าในหลายๆ ส่วนของแผนที่ได้เสนอมานั้น รัฐบาลได้ดำเนินการไปบ้างแล้ว
ด้านนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา กล่าวถึง ข้อเสนอแผนปรองดอง 5 ข้อที่ฝ่ายค้านมีท่าทีที่จะยอมรับว่า ถ้าตอบรับได้จะทำให้บรรยากาศบ้านเมืองดีขึ้น เพราะทุกคนอยากเห็นบรรยากาศ ปรองดองอยู่แล้ว
“การปรองดองเป็นสิ่งที่ดี แผนปรองดองดูแล้วก็เป็นสิ่งดี เมื่อทุกคนปรองดองกันได้ทุกอย่างก็จะสงบ การเลือกตั้งก็สามารถทำได้การหาเสียงหารือการทำกิจกรรมทางการเมืองก็สามารถ ทำได้”นายปณิธาน กล่าว
สำหรับกรณีหากมีการเจรจาระหว่างฝ่ายค้านและรัฐบาล วุฒิสภาจะเข้ามาเป็นคน กลางหรือไม่ นายประสพสุข กล่าวว่า วุฒิสภาคงอยู่เหนือความขัดแย้ง เพราะวุฒิสภาไม่ใช่คู่กรณีในความขัดแย้ง และต้องเป็นกลางทางการเมือง สำหรับผู้ที่ควรมาเจรจาจะต้องมีใครบ้างขอให้ไปคิดกันเองว่าควรมีใครที่เป็น คู่ขัดแย้ง
ส่วนเรื่องของตัวบุคคลที่จะเป็นตัวแทนมาพูดคุยก็ต้องรอดูการประสานกันอีกครั้ง ซึ่งหากมาทำงานร่วมกันโดยไม่คิดเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัว ไม่ว่าใครก็สามารถมาร่วมพูดคุยได้ ทั้งนี้ นายปณิธาน กล่าวด้วยว่าการประสานเรื่องดังกล่าวต้องประสานผ่านสำนักนายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้ นายปณิธานยังกล่าวถึงกรณีประเทศซาอุดิอาระเบีย ทำแถลงการณ์ถึงไทยเกี่ยวกับการแต่งตั้ง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ว่า นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไปประสานชี้แจงข้อมูลแล้ว ซึ่งการแต่งตั้งโยกย้ายเป็นเรื่องของกฏระเบียบ ส่วนเรื่องของคดีความก็ยืนยันว่าจะหาทางทำงานร่วมกันและพร้อมที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศซาอุดิอาระเบียตามลำดับ
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 998 ครั้ง