เมื่อทรราชย์สื่อข้ามชาติรวมหัวกับโจรการเงินโลก
วิกฤตการเงินในปีนี้นับว่าสร้างความปั่นป่วนต่อระบบการเงินและระบบเศรษฐกิจโลกอย่างมาก
การก่อตัวขึ้นของวิกฤตหนี้ภาครัฐที่เริ่มต้นจากวิกฤตดูไบ
ลามมาถึงกรีซ
และไปถึงเขตเงินยูโรทั้งหมดทำให้เกิดความเสียหยายต่อระบบเศรษฐกิจโลกอย่างมาก
ล่าสุดมีเสียงโอดครวญมาจากประเทศผู้ส่งออกทั้งหลายที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากค่าเงินยูโรที่อ่อนค่าลงกว่า20% ภายในเวลา 6 เดือนเศษๆ
โดยเฉพาะจีนและญี่ปุ่นที่ทั้งเงินเยนและเงินหยวนซึ่งผูกแน่นกับดอลลาร์มีค่าแข็งขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงเมื่อเทียบกับเงินยูโร
แต่แน่นอน
ในวิกฤตครั้งนี้ใช่ว่าจะมีแต่ผู้เสียหยายเท่านั้น
แต่ท่ามกลางวิกฤตครั้งนี้กลับมีหลายคนซึ่งไม่ใช่ใครอื่นไกล
นั่นคือ ทุนการเงินโลกไม่กี่กลุ่ม
ที่สามารถฟันกำไรมหาศาลแบบเป็นกอบเป็นกำจากการร่วงลงของค่าเงินยูโร
คนเหล่านี้โยกเงินเข้าสหรัฐฯและไล่ซื้อตราสารหนี้ความมั่นคงสูงทั้งพันธบัตรรัฐบาลและพันธบัตรที่ออกโดยหน่วยงานที่รัฐบาลค้ำประกัน
รวมถึงการโยกเงินเข้าญี่ปุ่น
เบ็ดเสร็จแล้วคร่าวๆก็ฟันกำไรไปร่วมๆ10-20% เป็นเงินหลายพันหลายหมื่นล้านดอลลาร์
ขณะที่มุนษยชาติมากกว่า6,000 ล้านชีวิต
ไม่ได้อะไรเลยแถมต้องโดนแรงกระแทกจากวิกฤตการเงินในครั้งนี้ซ้ำไปอีก
แต่หากพิจารณาโดยเนื้อแท้แล้วนั้น
เรื่องที่มีต้นตอมากจากวิกฤตในยุโรปแล้วนั้น
มีรูปแบบการก่อการที่ดูเป็นขบวนการต่อเนื่องและมีเครือข่ายจำนวนมาก
ทั้งนี้ไม่ได้มีเฉพาะเครือข่ายในภาคการเงินอันประกอบไปด้วยธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของโลกไม่ถึง20 แห่ง(แต่ว่าแต่ละแห่งมีสินทรัพย์และสภาพคล่องไม่ต่ำกว่า500,000-600,000 ล้านดอลลาร์ทั้งนั้น
หรือมากกว่าเท่าตัวของขนาดเศรษฐกิจหรือจีดีพีของประเทศไทย)บริษัทบริหารสินทรัพย์ที่ควบคุมกองทุนรวมทั้งโลก
หรือบรรดาเฮดจ์ฟันด์ต่างๆ
งานนี้เนื่องจากสถานการณ์ไม่ธรรมดาและล่อแหลมมาก
ตลาดและนักลงทุนทั่วโลกต่างจับตาความเคลื่อนไหวในยุโรปและประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอื่นๆแบบตาไม่กระพริบ
ดังนั้นเมื่อเกิดความเคลื่อนไหวใดๆก็ตาม
ไม่ว่าจะในเชิงบวกหรือลบต่อเงินยูโร
ทั้งค่าเงินและราคาสินทรัพย์ทั้งโลกก็จะเคลื่อนเป็นจังหวะไปพร้อมๆกันด้วยราคาที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายทั้งขึ้นหนักหรือร่วงแบบดิ่งเหว
และด้วยการเปลี่ยนแปลงที่สูงในเวลาสั้นๆไม่ว่าจะขึ้นหรือลง
ย่อมสร้างผลกำไรมหาศาลได้ทั้งนั้น
หากว่าทราบความเคลื่อนไหวล่วงหน้า
แต่บางครั้งมนุษย์ก็มีข้อจำกัด
คนที่จะรู้ความเคลื่อนไหวใดๆในอนาคตได้
คงจะไม่พ้นเทวดาหรือคนที่นั่งทางนัยได้เท่านั้น
เว้นแต่ว่าใครคนนั้นจะเป็นเขียนเรื่องเสียเอง
และแน่นอนในโลกปัจจุบันปัจจัยจากข้อมูลข่าวสารคือ
ปัจจัยชี้ขาดอย่างหนึ่งในเกมธุรกิจและการเงิน
การทราบข้อมูลที่สำคัญล่วงหน้าก็แทบจะชนะแบบ100% แล้ว
และแน่นอน
วิกฤตครั้งนี้ทุนการเงินจะไม่สามารถปฏิบัติการเขย่าตลาดได้หากปราศจากพันธมิตรสำคัญอย่าง
“สื่อ” และสื่อนี้ต้องเป็นสื่อที่ไม่ธรรมดาด้วย
แต่ต้องเป็นสื่อที่ครอบงำโลกทั้งโลก
ชนิดที่ว่าพูดอะไรออกมาต้องฟังและทุกคนล้วนให้ความเชื่อถือ
ปกติแล้ว
ในวงการเศรษฐกิจและการเงินการรับข้อมูลข่าวสารนั้นจะต่างจากคนทั่วๆไป
สื่อที่รับรู้นั้นจะต้องเป็นสื่อที่รายงานข่าวเฉพาะด้านที่มุ่งปัจจัยที่กระทบตลาดการเงินเป็นสำคัญ
เน้นเฉพาะข่าวเศรษฐกิจและนโยบาย
รวมถึงข่าวบริษัทจดทะเบียน
สื่อเหล่านี้จะมีเนื้อหาข่าวที่คุณภาพสูงกว่าปกติมาก
เพราะผู้รับข่าวจะมีแต่นักลงทุน
ผู้บริหารกองทุน นายธนาคาร
นักเศรษฐศาสตร์
หรือแม้แต่ผู้มีอำนาจในเวทีการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
เราจะไม่เห็นการรายงานข่าวในลักษณะที่เป็นแบบชาวบ้านๆ
ไร้สาระ หรือมีเนื้อหาชวนหัวเลย
เพราะคนอ่านต่างรับผิดชอบทรัพย์มูลค่ามหาศาล
ตั้งแต่หลักล้าน
ไปจนถึงหลักล้านล้านดอลลาร์เลย
หากพูดถึงประเทศไทยคงจะนึกถึงกรุงเทพธุรกิจ
โพสต์ทูเดย์ หรือ Money
Channel แต่ถ้าเป็นต่างประเทศแล้วไม่ว่าจะสหรัฐฯ
ยุโรป จีน ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง
หรือที่อื่นๆจะมีช่องทางข่าวที่เป็นที่รับรู้กันอยู่แล้วไม่กี่แห่ง
ซึ่งน่าสนใจมากว่า
สื่อเหล่านี้ไม่ว่าจะหนังสือพิมพ์
หรือ สำนักข่าว
กลับเป็นสื่อจากประเทศสหรัฐฯและอังกฤษทั้งสิ้น
โดยหากเป็นหนังสือพิมพ์นั้น
ในโลกของธุรกิจการเงินเรียกได้ว่าครองตลาดแค่2 ฉบับได้แก่Wall Street
Journal ของสหรัฐฯ และFinancial
Times หรือ FT ของอังกฤษ
ขณะที่สำนักข่าวที่เป็นผู้ให้บริการข้อมูลการเงินทั่วโลกด้วยแล้วก็จะมีแต่Bloomberg ของสหรัฐฯ และReuters ของอังกฤษเท่านั้น
นอกจากนั้นแล้วอาจมีหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นอื่นๆซึ่งผู้บริหารกองทุนอาจจะอ่านประกอบด้วยหากทำธุรกิจในประเทศใหญ่ๆเช่นSouth China
Morning Post, China Daily หรือStrait Times แต่การตลาดและอิทธิพลในระดับทั้งโลกก็ยังไม่สามารถเทียบได้กับ4 สื่อของสหรัฐฯและอังกฤษหรือAnglo-Saxon
Media ได้เลย
การทำงานของสื่อพวกนี้ก็จะคล้ายๆสื่อมวลชนทั่วไปแบบในไทย
คนพวกนี้จะมีแหล่งข่าวของตัวเอง
แต่แหล่งข่าวที่คอยให้ข่าวซึ่งนักข่าวแต่ละคนจะมีที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อและมีความคุ้นเคยด้วยนั้นล้วนไม่ธรรมดาทั้งสิ้น
และวิกฤตครั้งนี้เนื่องจากเกี่ยวพันกับค่าเงินยูโร
เป้าหมายที่ทุกคนจ้องมองก็ไม่พ้นหน่วยงานภาครัฐอย่างธนาคารกลางหรือกองทุนที่รัฐบาลดูแลทั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ
และกองทุนบำนาญ
ทั้งนี้เนื่องจากหน่วยงานเหล่านี้มีเงินตราต่างประเทศและการลงทุนในตลาดทุนระหว่างประเทศมากมายมหาศาล
การออกมาให้ความเห็นบางอย่าง
ย่อมสื่อถึงทิศทางของการโยกย้ายเงินก้อนใหญ่มูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ในอนาคตด้วย
ทุกคนจึงต่างที่จะแสวงหาและจับตามองความเคลื่อนไหวจากมหาอำนาจ
และแน่นอนในโลกนี้คนที่ทุกคนจับตามองมากที่สุดก็คือ
จีน ซึ่งมีทุนสำรองมากที่สุดในโลก
และมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ3 ของโลก
ใครก็ตามที่ทราบว่าจีนจะทำอะไร
ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร
ย่อมได้เปรียบมากในการหาโอกาสทำกำไร
ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมว่าทั้งจีนและธนาคารกลางและกองทุนรัฐบาลทั่วโลกต่างต้องทำงานร่วมกับทุนการเงินข้ามชาติทั้งบริษัทหลักทรัพย์
ธนาคาร
และบริษัทกองทุนต่างๆในฐานะที่เป็นกลไกในการบริหารนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนและการจัดการทุนสำรอง
ซึ่งมีแต่พวกนี้เท่านั้นที่สามารถเป็นธุระให้ได้
และคนพวกนี้ก็เป็นฝรั่งตะวันตกทั้งสิ้น
และก็เป็นพวกที่ก่อหายนะทางเศรษฐกิจและการเงินมาตลอด3-4 ทศวรรษที่ผ่านมา
และก็คือ
คนที่จ้องหาโอกาสฟันกำไรจากวิกฤตการเงินครั้งนี้ด้วย
ปฏิบัติการฉวยโอกาสจากข่าวจึงเริ่มต้นตั่งแต่ปลายเดือนพฤษภาคมจากการจงใจปล่อยข่าวจากหนังสือพิมพ์FT ว่าจีนอาจทิ้งพันธบัตรยูโร
จนเงินยูโรและราคาสินทรัพย์ร่วงหนัก
แต่สุดท้ายอีก 12 ชั่วโมงถัดมาReuters กลายเป็นผู้มาเคลียร์สถานการณ์หลัจากไปสัมภาษณ์แหล่งข่าวจากทางการจีนอีกรอบซึ่งยืนยันว่าไม่ขายยูโร
ทุกอย่างก็กลับตาลปัตร
แต่ต่อมาความที่ตลาดยังไม่เชื่อ
ค่าเงินยูโรจึงร่วงอย่างหนัก
และต่อมาเริ่มเดือนพฤศจิกายนในสัปดาห์แรก
ก็มีกระบวนการสร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาในตลาดอีกครั้ง
โดยครั้งนี้ก็เป็น Reuters เช่นเดิมที่ทำหน้าที่ในการสร้างข่าวเพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับมาสู่ตลาดด้วยการส่งทีมข่าวชุดใหญ่ออกสัมภาษณ์ธนาคารกลางมหาอำนาจที่ถือทุนสำรองรวมกันกว่าค่อนโลกทั้งญี่ปุ่น
เกาหลีใต้ อินเดีย รัสเซีย
และบราซิล
จะเห็นว่าทั้งกลุ่มทุนการเงินและทุนสื่อล้วนมีเป้าหมายใช้จีนและประเทศสำคัญบางประเทศเป็นเครื่องมือในการชี้นำตลาดในทางที่ตัวเองรับรู้ล่วงหน้าและทำกำไรได้มหาศาล
จีนในฐานะผู้ที่เสียประโยชน์จึงพยายามใช้เกมสื่อโต้กลับบรรดาทุนการเงินครอบโลก
โดยการออกมาให้ข่าวเพื่อหนุนยูโรขึ้นมา
โดยล่าสุดเมื่อพุธที่ 9 มิถุนายน
ที่ผ่านมา
ประธานกองทุนประกันสังคมของรัฐบาลจีนต้องออกมาให้ข่าวเพื่อหนุนค่าเงินยูโรให้แข็งค่ากลับมาเพื่อโต้แรงเก็งกำไร
ซึ่งได้ผล
แต่อย่างไรก็ตามเกมสื่อกลับไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้
ทุนการเงินข้ามชาติที่มีความสนิทสนมกับทุนสื่อครอบโลกเหล่านี้ได้ใช้ปฏิบัติการข่าวสารตลบหลังจีนแบบเจ็บแสบและผิดจริยธรรมทางเศรษฐกิจและวิชาชีพอย่างมาก
โดยวันที่ 9 มิถุนายนเช่นกัน
สำนักข่าว Reuters เจ้าเดิมได้ลงข่าวจากการแอบสอบถามแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยจากรัฐบาลจีนว่า
ตัวเลขการส่งออกของจีนอาจโตขึ้นเกือบ50% ในเดือนพฤษภาคม
ขณะที่ตัวเลขการส่งออกและตัวเลขทางเศรษฐกิจอื่นๆมีกำหนดแถลงในวันที่10 มิถุนายน
ส่งผลให้ดัชนีราคาหุ้นเซียงไฮ้ดีดตัวเกือบ3%และราคาโภคภัณฑ์
ค่าเงินยูโร
และราคาหุ้นทั้งโลกพุ่งสูงขึ้นหลังการจงใจปล่อยข่าวนี้ออกมา
สร้างผลกำไรมหาศาลสำหรับใครก็ตามที่แอบไปช้อนซื้อหุ้นและโภคภัณฑ์ราคาถูกๆไว้ล่วงหน้า
และในที่สุดเรื่องนี้ก็ถูกนำเข้าสู่กระบวนการสอบสวนของรัฐบาลจีนว่า
ข่าวนี้รั่วได้อย่างไร
นั่นเป็นตัวอย่างของเกมการเงินที่มีสื่อเป็นเครื่องมือสำคัญเข้าร่วมด้วย
และนอกจากการปล่อยข่าวในช่วงตลาดทำการแล้ว
อีกรูปแบบของเกมสื่อก็คือ
กระบวนการสร้างกระแสข่าวและแนวโน้มของตลาดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ซึ่งสื่อหลักทั้ง 4 อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นจะทำการตั้งประเด็นให้สัมภาษณ์บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างๆและขอความเห็นจากผู้บริหารกองทุนหลายๆคน
และนำลงเป็นข่าวต่อเนื่อง
โดยมุ่งสัมภาษณ์คนที่จะมีความเห็นไปในทางที่ตนเองรู้อยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร
และสิ่งที่น่าตกใจก็คือ
ประเด็นที่สื่อและทุนการเงินโลกเล่นในช่วงก่อนหน้านี้ตั้งแต่ปีที่แล้วก็คือ
เศรษฐกิจจีนจะถึงขั้นฟองสบู่แตก
ดังนั้นเห็นได้ชัดว่าเกมสื่อในยุคนี้มุ่งไปที่จีนเป็นสำคัญ
และจีนเองก็รู้ตัวเรื่องนี้มานานแล้วจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อหลุดพ้นพันธนาการด้านื่อและการเงินของตะวันตกในทุกวันนี้
เผอิญที่โต๊ะทำงานผมมีโปรแกรม Reuters แบบที่พวกผู้บริหารกองทุนทั่วโลกใช้ จ่ายปีละหลายล้านเลย ผมเลยเข้าใจ Capital Flow มันวิ่งยังไง
หลักๆก็ไม่พ้นพวกยิวครับที่มันก่อเรื่อง ทั้งยิวในวงการสื่อ และพวกยิวในภาคการเงิน แสบมากๆ พวกฝรั่งกับยิวนี่คบไม่ค่อยได้เลยครับ ห่างมันได้เป็นดี
จากคุณ : เบ๊นซ์ @ 2010-06-15 13:33:30
เพิ่งรู้ความเชือมโยงของสื่อกับการโกงระดับโลก…
จากคุณ : มนตรี @ 2010-06-13 23:33:08
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 997 ครั้ง