ธาริต แถลง “หรั่ง” คนสนิทเสธแดง โยง 8 คดีความไม่สงบ ทั้ง ยิง พ.อ.ร่มเกล้า ,ใช้อาร์พีจียิงถล่มคลังน้ำมัน ฯลฯ ยืนยันไม่ใช่การจับแพะ ด้านนายกฯเชื่อ ขยายผลได้มาก
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ แถลงผลการสอบสวน นายสุรชัย หรือ หรั่ง เทวรัตน์ คนสนิทของพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก หลังจับกุมตัวได้ตามหมายจับศาลอาญา ที่ จังหวัดลพบุรี ว่า จากการสืบสวนพบว่า นายหรั่ง เกี่ยวข้องกับคดีความไม่สงบในการชุมนุมของคนเสื้อแดงรวม 8 คดี ทั้งคดียิงระเบิด M79 เข้าไปภายในกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ เหตุปะทะกันบริเวณแยกคอกวัว มีการใช้เครื่องยิงระเบิด ยิงทหารเสียชีวิตหลายนาย รวมถึง พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รอง เสธ.พล.ร.2 รอ. ยิง RPG คลังน้ำมันอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี เมื่อวันที่ 21 เม.ย. ที่ผ่านมา ยิง M79 บริเวณแยกศาลาแดง สีลม ยิง RPG เข้าไปภายในโรงแรมดุสิตธานี เมื่อวันที่ 17 พ.ค. ยิง M79 ที่พักตำรวจสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี ยิง M16 บริเวณธนาคารกรุงไทย แยกศาลาแดง และยิง M79 บริเวณด่านตรวจลุมพินีตรงข้ามอาคารอื้อจือเหลียง เบื้องต้นนายหรั่งยอมรับว่าเป็นคนสนิทของ เสธ.แดง เดินทางไปร่วมกับกลุ่มฮาร์ดคอร์ และหลังจากการชุมนุมยังได้นำอาวุธสงครามไปขายจนถูกดีเอสไอ ร่วมกับนาวิกโยธินล่อซื้อได้ที่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
ทั้งนี้ ดีเอสไอยืนยันว่า ไม่ได้จับแพะ โดยนายหรั่งได้รับราชการ และรู้จักกับ เสธ.แดง มา 3 ปี และชอบอาวุธสงคราม ส่วนนายหรั่งเกี่ยวข้องกับคดียิงนายก อบจ.นครสวรรค์หรือไม่ เป็นเรื่องในชั้นการสอบสวนของตำรวจ อย่างไรก็ตาม จะมีการนำตัวนายหรั่งไปฝากขังต่อศาลอาญา ในบ่ายวันนี้
ต่อมาเมื่อเวลา 13.00 น. นาย ธานินทร์ เปรมปรีดิ์ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ ดีเอสไอ ได้ควบคุมตัวนายสุรชัย หรือ หรั่ง เทวรัตน์ ชาวบุรีรัมย์ อายุ 25 ปี คนสนิท พล.ต. ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย ยื่นคำร้องฝากขังครั้งแรกเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 16-27 กรกฎาคมนี้ เนื่องจากต้องสอบพยานเพิ่มเติมอีก 30 ปาก และรอผลตรวจพิสูจน์หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ และการตรวจสอบข้อมูลทางโทรศัพท์ รวมทั้งการธุรกรรมทางการเงิน ประกอบการดำเนินคดี ทั้งนี้หากผู้ต้องหายื่นคำร้องประกันตัว พนักงานสอบสวนขอคัดค้าน เนื่องจากผู้ต้องหามีพฤติการณ์ที่จะหลบหนี หรือ ก่อเหตุร้ายแรงอื่น ประกอบกับ สถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ไม่เป็นที่ไว้ว่างใจด้านความมั่นคง และความสงบเรียบร้อยในประเทศ อีกทั้งผู้ต้องหายังเคยเป็นกองกำลังติดอาวุธมีหน้าที่ยิงอาวุธปืน M79 หรืออาวุธปืน อาร์ก้า ระหว่างการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงของ พล.ต.ขัตติยะ ในการก่อเหตุร้าย หรือก่อวินาศกรรมในสถานที่ต่างๆ
ตามคำร้องระบุพฤติการณ์ระบุว่า เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา เวลา 07.00 น.เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่าผู้ต้องหา ซึ่งหลบหนีคดีจากประเทศกัมพูชา กลับเข้ามากบดานที่ห้องพัก เลขที่ 17 โรงแรมฟอร์ยู อ.เมือง จ.ลพบุรี จึงได้ขอหมายค้นจากศาล จ.ลพบุรี เข้าจับกุม ซึ่งผู้ต้องหายอมรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกัน ตามหมายจับศาลอาญาที่ 1053/2553 ลงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาและแจ้งข้อหาร่วมกัน หรือใช้ให้ผู้อื่น หรือ สนับสนุนให้มีการกระทำผิดก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 135/1-3 ประกอบมาตรา 83-86 ซึ่งมีพฤติการณ์กระทำผิดระหว่างเดือนพฤศจิกายน – พฤษภาคม 2553 ในพื้นที่ กทม.ปริมณฑล และ พื้นที่บางจังหวัดภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่ากระทำผิดยิงอาวุธปืนเข้าไปในพื้นที่โรงแรมดุสิตธานี ย้ายถนนสีลม ส่วนอื่นขอให้การปฎิเสธ
ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้านจึงอนุญาตให้ฝากขังได้ตามคำร้อง
เมื่อเวลา 15.45 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เชื่อว่าการจับกุมนายสุรชัย เทวรัตน์ หรือหรั่ง มือขวาของพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญารายล่าสุดและทำให้มีการขยายผลไปได้ค่อนข้างมาก เพราะเจ้าหน้าที่พยายามที่ต้องเจาะเข้าไปเฉพาะกลุ่มที่ใช้ความรุนแรง เพราะฉะนั้นตรงนี้มันก็จะเป็นหัวใจสำคัญ และยืนยันว่าคนที่มีความเคลื่อนไหว ความคิดเห็นที่แตกต่างอยู่ในขณะนี้ ถ้าแยกออกมาได้จากกระบวนการของการใช้ความรุนแรงเมื่อไหร่ทุกอย่างก็จะง่าย
เมื่อถามว่า แต่เหมือนมีคำถามมาว่าจะเป็นการโยนความผิดให้กับคนตายอย่างพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คงไม่ได้พูดในลักษณะนั้น น่าจะเป็นเรื่องของการดูภาพรวมมากกว่า เพราะว่าที่ผ่านมาก็จะมีการพูดประหนึ่งว่าเหตุการณ์ที่เป็นความรุนแรงทั้งหลาย ที่มีทั้งกล่าวหาว่ารัฐไปทำเองบ้าง มีทั้งที่พูดในลักษณะว่าเป็นกลุ่มอิสระโดยสิ้นเชิง ไม่โยงใยอะไรไปกับใคร ซึ่งความจริงมันคงไม่ใช่
นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงการพบกับนายวิลเลียม เจ. เบิร์น ปลัดกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา โดยตนเองระบุว่าหากกระบวนการแผนปรองดองมีความคืบหน้าในช่วงปลายปีนี้ ต้นปีหน้าก็สามารถจัดการเลือกตั้งได้ ซึ่งเรื่องนี้ส่วนตัวขอพูดเหมือนเดิม เพราะประเทศไทยตอนนี้ยังต้องการเสถียรภาพและตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป เราจะดูจังหวะเวลาที่เหมาะสมได้ และยืนยันในจุดยืนเดิมว่าใครอยากให้มีการเลือกตั้งเร็วต้องช่วยทำให้บ้านเมืองสงบ แต่ถ้าใครคิดจะใช้กำลังมาข่มขู่ไม่ให้มีการเลือกตั้ง ประเทศไม่ควรที่จะตอบสนองในความต้องการในลักษณะอย่างนั้น ซึ่งขณะนี้รัฐบาลกำลังทำงานเพื่อคุมสถานการณ์ให้อยู่อย่างเต็มที่
นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดผลการหารือ ระหว่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กับ นาย วิลเลี่ยม เจ เบิร์นส์ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ว่า การหารือครั้งนี้เป็นการแลกเปลี่ยนเชิงยุทธศาสตร์ และกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ ได้รายงานสถานการณ์การเมืองของไทย และ ความคืบหน้าในการด้านการปฏิรูปด้านต่างๆ โดยยืนยัน หากภายในปลายปีนี้ ผลการดำเนินของคณะกรรมการต่างๆ ที่ตั้งไว้ ไม่ว่าจะเป็น คณะกรรมการอิสระ เพื่อตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ คณะกรรมการปฏิรูป คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป มีผลงานเป็นรูปธรรมต้นปีหน้าก็สามารถมีการเลือกตั้งได้ นอกจากนี้นายอภิสิทธิ์ ยังได้ขอบคุณสหรัฐที่ให้การสนับสนุนแผนการปรองดองของรัฐบาลไทย โดยสหรัฐได้ให้ความเข้าใจและเห็นว่า คณะกรรมการต่างๆที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาถือว่ามาถูกทางแล้ว
“ท่านนายกฯบอกว่า ถ้ากรรมการต่างๆมีผลงานออกมาเป็นรูปธรรม ต้นปีหน้าเป็นต้นใหม่ก็สามารถจัดการเลือกตั้งได้ โดยนายกฯจะเร่งรัดให้คณะกรรมการชุดต่างๆ มีงานผลงานเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปฏิรูปการเมือง การปฏิรูปประเทศเพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง การแก้ไขกติกาการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม ถ้าสามารถแก้ไขเรื่องเหล่านี้ได้ ทางรัฐบาลก็พร้อมที่จะจัดการเลือกตั้ง” นายปณิธาน อ้างคำพูดของนายกรัฐมนตรี
นายปณิธาน กล่าวว่า ในส่วนเรื่องการประกาศพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.) ฉุกเฉิน นั้น นายกฯได้ชี้แจงว่าต้องมีการประกาศเพื่อประคองสถานการณ์ให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว โดยมีการชี้แจงและใช้กลไกต่างๆ ตรวจสอบการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ และลดพื้นที่ประกาศลงตามลำดับ ซึ่งสหรัฐมีท่าทีเข้าใจ
ในส่วนเรื่องความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา นั้น สหรัฐมีความห่วงใยเรื่องนี้และได้เสนอว่าจะให้ นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดี ร่วมมือกับกับอาเซียนอย่างไรบ้างหรือไม่ เพราะสหรัฐจะมีการประชุมกับอาเซียนเร็วๆนิ้ โดยนายอภิสิทธิ์ ได้ตอบว่า คิดว่าความร่วมมือระหว่างสหรัฐ กับ อาเซียน ควรเป็นเรื่องความมั่นคง เรื่องการค้า และเรื่องเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในส่วนของไทยนั้นสนับสนุนเรื่องเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งสหรัฐก็เห็นด้วยและเห็นว่าไทยมีบุคคลากรจำนวนมากที่มีความสามารถในเรื่องนี้ ซึ่งไทยและสหรัฐก็เห็นตรงกันในเรื่องนี้ โดยค่ำวันนี้ ( 16 ก.ค.) จะมีการจัดงาน “Thai-US creative partnership” ที่บ้านนายอีริค จอห์น เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย โดยเป็นการพบปะกันของนักธุรกิจไทย-สหรัฐ โดยนายกรณ์ จาติกวริช รมว.คลังจะไปร่วมงานด้วย
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 1261 ครั้ง