ถ้อยแถลงของกัมพูชาระบุว่า หากนายกฯ ไทยกล่าวเช่นนั้นจริง กระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชาขอแสดงท่าทีต่อนานาชาติดังนี้ ประการแรก มาตรา 8 ของบันทึกความเข้าใจปี พ.ศ.2543 ระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาระบุว่า “ข้อพิพาทใดๆ อันเกิดจากการตีความหรือการใช้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ จักได้รับการหาข้อยุติโดยสันติ ด้วยการปรึกษาหารือและการเจรจา” ดังนั้น หากประเทศไทยยกเลิกบันทึกความเข้าใจดังกล่าวแต่ฝ่ายเดียว ก็จะเป็นการละเมิดเอกสารทวิภาคีที่มีผลผูกพันตามกฎหมายอย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งจะเป็นการแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
ประการที่สอง ต่อกรณีคำกล่าวที่ว่า “เราจะใช้ทั้งวิธีการที่เป็นประชาธิปไตย และวิธีการทางการทหาร” นั้น เท่ากับเป็นการแสดงการข่มขู่โดยแจ้งชัดที่จะใช้กำลังทหารต่อกัมพูชาเพื่อยุติปัญหาของการปักปันเขตแดนระหว่างประเทศทั้งสอง ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างมีข้อผูกพันตามเอกสารทางกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการเผยให้เห็นธาตุแท้ของรัฐบาลของสิ่งที่เรียกว่าพรรคประชาธิปัตย์
แถลงการณ์ของกัมพูชาระบุในท้ายที่สุดว่า กัมพูชาขอสงวนสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของตนต่อการรุกรานโดยเจตนา
ในช่วงค่ำ สำนักข่าวซินหัวของจีนรายงานว่า สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ส่งจดหมายถึงนายอาลี อับดุสซาลัม ประธานสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ และนายวิทาลี เชอร์กิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ คนละฉบับ เพื่อชี้แจงถึงท่าทีของกัมพูชาต่อปราสาทพระวิหาร
“การข่มขู่ว่าจะใช้กองกำลังทหารกับฝ่ายกัมพูชาเพื่อยุติข้อพิพาทบริเวณชายแดนนั้น เป็นการแสดงให้เห็นว่าไทยกำลังละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติมาตรา 2.3 และ 2.4 อย่างชัดเจน” เนื้อความในจดหมายระบุ
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 911 ครั้ง