อินเดียต้องลงทุนในด้านเทคโนโลยีเพื่อทำการเพาะปลูกในพื้นที่แห้ง (Dry Area) และเพิ่มผลผลิตภาคการเกษตรซึ่งตกต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี นายมันโมฮัน ซิงห์ นายกรัฐมนตรีอินเดียกล่าวในสุนทรพจน์วันชาติอินเดียในวันนี้ (15 สิงหาคม)
นายซิงห์กล่าวว่า อินเดียต้องการเพิ่มการเติบโตของภาคเกษตรเป็น 4% ต่อปี ตัวเลขจากรัฐบาลชี้ว่า ผลผลิตทางเกษตรของอินเดียเติบโตเพียง 0.2% เมื่อปีงบประมาณสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา
การเพิ่มผลผลิตการเกษตรมีสำคัญอย่างมากต่อรัฐบาลซิงห์เพื่อให้อินเดียบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 8.5% ในปีนี้ ภาคการเกษตรมีสัดส่วน 18% ของระบบเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ของอินเดียและมีการจ้างงานโดยตรงกว่า 235 ล้านคนหรือเกือบเท่าประชากรทั้งหมดของประเทศอินโดนีเซีย
“ความหวังในการบรรลุการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับที่สูงขึ้นโดยปราศจากการเติบโตที่แข็งแกร่งของภาคเกษตรถือเป็นเรื่องที่ขาดวิสัยทัศน์” นายเจย์ ชันการ์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากบริษัทเรลิแกร์ แคปิตอล มาร์เกตส์ จำกัด “นายกซิงห์กำลังมุ่งไปสู่ทิศทางที่ถูกต้องกับการมุ่งเน้นที่ลงลึกขึ้นในภาคเกษตร ขณะนี้รัฐบาลตระหนักแล้วว่าระดับของผลผลิต (Crop Yield) ยังต่ำกว่าที่ควรจะเป็น”
นายทุวุรี ศุภเรา ผู้ว่าการธนาคารกลางอินเดียได้เพิ่มประมาณการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคมที่ผ่านมา ธนาคารกลางอินเดียกล่าวว่าเศรษฐกิจในปีงบประมาณนี้จะมีการเติบโตในระดับ 8.5% มากกว่าการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 8%
เงินเฟ้ออาหาร
เงินเฟ้อด้านอาหารของอินเดียชะลอตัวลงในเดือนกรกฎาคมมาอยู่ที่ 9.53% ต่ำสุดในรอบ 13 เดือนและต่ำกว่าระดับ 21% ในเดือนพฤศจิกายน เนื่องจากในเดือนที่แล้วมีลมมรสุมเข้ามากกว่าที่คาดไว้ ส่งผลให้เกษตรกรสามารถหว่านถั่วเลนทิลและข้าวได้
“รัฐบาลของเราต้องการให้มีตาข่ายความปลอดภัยด้านอาหารซึ่งจะไม่มีประชาชนคนใดต้องทนกับความหิวโหย” นายซิงห์กล่าวในสุนทรพจน์เนื่องในวันชาติอินเดีย
“เราต้องการเทคโนโลยีซึ่งสามารถตอบโจทย์ของการทำการเกษตรบนพื้นที่แห้งได้” นายซิงห์กล่าว “นอกจากนั้นแล้วภาคเกษตรของเรายังต้องสามารถจัดการกับความท้าทายใหม่ๆได้เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ระดับน้ำผิวดินที่ลดลง และ คุณภาพของดินที่เสื่อมถอยลง”
ลมมรสุมในช่วงเดือนมิถุนายน-กันยายนคือแหล่งที่มาหลักของน้ำในระบบชลประทานของอินเดีย ฝนจากลมมรสุมสูงกว่าค่าเฉลี่ย 16% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กรมอุตุนิยมวิทยาอินเดียแถลงเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา เงินเฟ้อคิดจากราคาขายส่งพุ่งขึ้นเป็น 10.4% ในเดือนกรกฎาคม
ธนาคารโลกคาดว่า 76% ของคนอินเดียซึ่งมีประชากร 1,200 ล้านคน ดำรงชีพด้วยรายได้ต่ำกว่า 2 ดอลลาร์ต่อวัน เทียบกับระดับ 72% ของประชากรในแถบซับซาฮาร่าแอฟริกา
ธนาคารกลางอินเดียยังคาดการณ์อีกว่า เงินเฟ้อจะอยู่ที่ 6% ตลอดปีงบประมาณสิ้นสุด 31 มีนาคมปีหน้า สูงกว่า 5.5% ซึ่งคาดการณ์ไว้ช่วงเดือนเมษายน
“ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เงินเฟ้อได้เป็นเหตุให้ท่านอยู่กันลำบากขึ้น” นายซิงห์กล่าว “เรากำลังทำทุกวิถีทางเพื่อจัดการกับปัญหานี้”
ที่มา Bloomberg
http://noir.bloomberg.com/apps/news?pid=20601087&sid=aZueQbL1RprU&pos=6
นายซิงห์กล่าวว่า อินเดียต้องการเพิ่มการเติบโตของภาคเกษตรเป็น 4% ต่อปี ตัวเลขจากรัฐบาลชี้ว่า ผลผลิตทางเกษตรของอินเดียเติบโตเพียง 0.2% เมื่อปีงบประมาณสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา
การเพิ่มผลผลิตการเกษตรมีสำคัญอย่างมากต่อรัฐบาลซิงห์เพื่อให้อินเดียบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 8.5% ในปีนี้ ภาคการเกษตรมีสัดส่วน 18% ของระบบเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ของอินเดียและมีการจ้างงานโดยตรงกว่า 235 ล้านคนหรือเกือบเท่าประชากรทั้งหมดของประเทศอินโดนีเซีย
“ความหวังในการบรรลุการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับที่สูงขึ้นโดยปราศจากการเติบโตที่แข็งแกร่งของภาคเกษตรถือเป็นเรื่องที่ขาดวิสัยทัศน์” นายเจย์ ชันการ์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากบริษัทเรลิแกร์ แคปิตอล มาร์เกตส์ จำกัด “นายกซิงห์กำลังมุ่งไปสู่ทิศทางที่ถูกต้องกับการมุ่งเน้นที่ลงลึกขึ้นในภาคเกษตร ขณะนี้รัฐบาลตระหนักแล้วว่าระดับของผลผลิต (Crop Yield) ยังต่ำกว่าที่ควรจะเป็น”
นายทุวุรี ศุภเรา ผู้ว่าการธนาคารกลางอินเดียได้เพิ่มประมาณการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคมที่ผ่านมา ธนาคารกลางอินเดียกล่าวว่าเศรษฐกิจในปีงบประมาณนี้จะมีการเติบโตในระดับ 8.5% มากกว่าการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 8%
เงินเฟ้ออาหาร
เงินเฟ้อด้านอาหารของอินเดียชะลอตัวลงในเดือนกรกฎาคมมาอยู่ที่ 9.53% ต่ำสุดในรอบ 13 เดือนและต่ำกว่าระดับ 21% ในเดือนพฤศจิกายน เนื่องจากในเดือนที่แล้วมีลมมรสุมเข้ามากกว่าที่คาดไว้ ส่งผลให้เกษตรกรสามารถหว่านถั่วเลนทิลและข้าวได้
“รัฐบาลของเราต้องการให้มีตาข่ายความปลอดภัยด้านอาหารซึ่งจะไม่มีประชาชนคนใดต้องทนกับความหิวโหย” นายซิงห์กล่าวในสุนทรพจน์เนื่องในวันชาติอินเดีย
“เราต้องการเทคโนโลยีซึ่งสามารถตอบโจทย์ของการทำการเกษตรบนพื้นที่แห้งได้” นายซิงห์กล่าว “นอกจากนั้นแล้วภาคเกษตรของเรายังต้องสามารถจัดการกับความท้าทายใหม่ๆได้เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ระดับน้ำผิวดินที่ลดลง และ คุณภาพของดินที่เสื่อมถอยลง”
ลมมรสุมในช่วงเดือนมิถุนายน-กันยายนคือแหล่งที่มาหลักของน้ำในระบบชลประทานของอินเดีย ฝนจากลมมรสุมสูงกว่าค่าเฉลี่ย 16% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กรมอุตุนิยมวิทยาอินเดียแถลงเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา เงินเฟ้อคิดจากราคาขายส่งพุ่งขึ้นเป็น 10.4% ในเดือนกรกฎาคม
ธนาคารโลกคาดว่า 76% ของคนอินเดียซึ่งมีประชากร 1,200 ล้านคน ดำรงชีพด้วยรายได้ต่ำกว่า 2 ดอลลาร์ต่อวัน เทียบกับระดับ 72% ของประชากรในแถบซับซาฮาร่าแอฟริกา
ธนาคารกลางอินเดียยังคาดการณ์อีกว่า เงินเฟ้อจะอยู่ที่ 6% ตลอดปีงบประมาณสิ้นสุด 31 มีนาคมปีหน้า สูงกว่า 5.5% ซึ่งคาดการณ์ไว้ช่วงเดือนเมษายน
“ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เงินเฟ้อได้เป็นเหตุให้ท่านอยู่กันลำบากขึ้น” นายซิงห์กล่าว “เรากำลังทำทุกวิถีทางเพื่อจัดการกับปัญหานี้”
ที่มา Bloomberg
http://noir.bloomberg.com/apps/news?pid=20601087&sid=aZueQbL1RprU&pos=6
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 1687 ครั้ง