เปิดบันทึกนักข่าวภาคสนาม ในสมรภูมิราชประสงค์ โดยสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้แจกจ่ายจุลสารราชดำเนินฉบับพิเศษ “โศกนาฏกรรมพฤษภา 53 บันทึกปากคำสื่อ สมรภูมิราชประสงค์ กระชับวงล้อมทะเลแดง” ซึ่งเป็นการรวบรวมบทความและคำบอกเล่าจากผู้สื่อข่าวภาคสนามที่ทำข่าวเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 ในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยจุลสารดังกล่าวมีความหนา 88 หน้า
จุลสารฉบับนี้ได้แจกจ่ายแก่สมาชิกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และเปิดให้ดาวน์โหลดแก่ผู้สนใจที่เว็บไซต์ www.tja.or.th ในฉบับมีบทความที่น่าสนใจหลายเรื่อง รวมทั้งปฏิทินลำดับเวลา 69 วันชุมนุมเสื้อแดง สรุปจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช.โดยศูนย์เอราวัณและสรุปการใช้อาวุธ M79 ในช่วงที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ดำเนินการกระชับพื้นที่รอบแยกราชประสงค์ ฯลฯ
นักข่าวเนชั่นเปรียบ รถไฟ “เสื้อแดง” นายท่าอยู่ ตปท.
บทความเรื่อง “เมื่อรถไฟขบวนแดง แล่นออกจากสถานีประเทศไทย” ของนายเสถียร วิริยะพรรณพงศา ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวเนชั่น กล่าวในตอนต้นว่า การมองและตีความกลุ่มคนเสื้อแดงที่แตกต่างกันนั้นกลายเป็นปมปัญหา ซึ่งกลุ่มคนเสื้อแดงมีความซับซ้อนในตัวเอง เปรียบเหมือนรถไฟขบวนหนึ่งที่ประกอบไปด้วยผู้โดยสารจำนวนมาก ที่ขึ้นมาจากสถานีต่างกัน และมีเป้าหมายที่จะลงต่างกันไป ส่วนคนขับมีทั้งคนที่ขับจริงๆ กับนายท่าที่อยู่ต่างประเทศเป็นผู้กำหนด
“ดังจะเห็นว่าเมื่อรถไฟสีแดงขบวนนี้แล่นไปเรื่อยๆ จะพบว่ามีผู้คนขึ้นและลงแทบจะตลอดสาย ไม่เว้นแม้กระทั่งคนขับ วีระ มุสิกพงศ์ ประธาน นปช.เอง เมื่อถึงสถานีที่ตัวเองจะลงแล้ว พยายามตะโกนบอกผู้โดยสารให้ลง แต่เมื่อไม่มีใครทำตามก็พาพวก 3-4 คน เก็บกระเป๋าหนีลงไปก่อนอย่างหน้าตาเฉย” นายเสถียรกล่าว
นายเสถียรตั้งข้อสังเกตว่า การที่แต่ละคนอยากจะลงคนละสถานี เพราะแม้จะขึ้นมาบนรถไฟขบวนเดียวกัน แต่ก็มีวาระต่างกัน โครงสร้างขบวนเสื้อแดง ที่พบว่าซ้อนกันอยู่หลายชั้น ความคิดอ่านของแกนนำแต่ละกลุ่มไม่ค่อยจะลงรอยกันนัก ทั้งนี้ กลุ่มที่อยู่ในหัวขบวนหน้าสุดคือสามเกลอ เช่น นายวีระ มุสิกพงศ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายจากคนที่อยู่เมืองนอกให้กำหนดยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีการเคลื่อนไหวอย่างเบ็ดเสร็จ แต่ได้จัดตั้งคณะกรรมการ นปช.กว่า 20 คนเพื่อขยายแนวร่วม ซึ่งเป็นตัวแทนจากผู้คุมกำลังภาคส่วนต่างๆ
อีกด้านหนึ่งของการนำ มาจากซ้ายเก่าที่หลอมรวมจากฐานกำลังของอดีตนายกฯ ทักษิณ มีทั้งตัวที่เดินบนกระดานและเป็นตัวปิดที่เดินเกมใต้ดิน เรียกว่า “แกนเปิด” และ “แกนนำปิด” ซึ่งทำหน้าที่ผลิตชุดความคิด หรือออกแบบวาทกรรม โดยจะส่งผ่านนายณัฐวุฒิและนายจตุพรนำไปปราศรัยให้ชาวบ้านฟัง ที่เห็นชัดเจนคือวาทกรรม “สงครามชนชั้น” ที่ใช้เป็นเงื่อนไขปลุกพลังของคนยากคนจน รวมทั้งวาทกรรมว่า “ไพร่-อำมาตย์” ที่พยายามตอกย้ำว่าสังคมไทยมีการกดขี่อยู่จริง
นายเสถียรตั้งข้อสังเกตด้วยว่า การขยับเข้ามามีบทบาทของบรรดาซ้ายเก่าหรือคนเดือนตุลา ด้านหนึ่งเป็นจุดแข็งเพราะสามารถอธิบายต่อสังคมได้ว่า การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นมาจากอุดมการณ์ ไม่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่อีกด้านหนึ่งความศรัทธาในรูปแบบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ได้กลายเป็นจุดอ่อนให้ถูกโจมตีเรื่องการโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ยังมีแก๊งฮาร์ดคอร์เป็นตัวแปรของสถานการณ์ เปิดช่องให้ข้อหาก่อการร้ายมีเหตุผลขึ้น นำไปสู่การที่รัฐใช้กำลังปราบปรามในที่สุด
“ยิ่งบวกกับการปราศรัยบนเวทีที่ผู้ปราศรัยหลายคนพูดจาฉวัดเฉวียด จวนเจียนจะหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ แกนนำบางรายถึงกับยกตัวอย่างทำนองว่าสาเหตุความแตกแยกที่เกิดขึ้นนั้นปัจจัยสำคัญมาจาก “พ่อแม่ไม่ให้ความเป็นธรรมกับลูกเหมือนที่ให้กับทุกๆ คน” มีการกระทำอันเป็นสองมาตรฐาน การพูดลักษณะนี้จึงถูกตีความว่าหมายความว่าจริงๆ แล้วเป้าหมายที่มาเรียกร้องแค่ยุบสภาแน่หรือ” บทความระบุ
นายเสถียรกล่าวโดยสรุปว่า ไม่ว่าศูนย์การนำจะกระจายอยู่เป็นส่วนๆ ไม่เป็นเอกภาพแต่แม่น้ำทุกสายต้องไหลกลับเข้าสู่แม่น้ำสายใหญ่คือ พ.ต.ท.ทักษิณ เขาคือผู้ยึดโยงการเคลื่อนไหวทุกสาย ทั้งสายสันติวิธี สายกองกำลัง สายการเมือง ซ้ายเก่า พรรคเพื่อไทย อิทธิพลของเขาแผ่ขยายไปควบคุมมวลชนกลุ่มย่อยตามจังหวัดต่างๆ ถึงแม้ว่าแกนนำจะแตกแยกจะเห็นได้ว่ามวลชนไม่ได้ถูกแบ่งแยกตามไปด้วย
เหยี่ยวข่าวสำนักข่าวไทย ยันมีไอ้โม่งในสวนลุมฯ ยิงกราดใส่ทหาร
ส่วนกรณีปัญหากองกำลังติดอาวุธ ที่ก่อนหน้านี้กลุ่มคนเสื้อแดงบางส่วนออกมายอมรับว่ามีอยู่จริง ขณะที่อีกส่วนพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงโดยปฏิเสธว่าในกลุ่มคนเสื้อแดงไม่มีการติดอาวุธ ก็ได้มีการพูดถึงในบทความเรื่อง “ใครยิงใคร” ซึ่งเขียนโดย นายนิมิต สุขประเสริฐ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทย
นายนิมิต กล่าวถึงการทำข่าวในวันแรกที่ทหารประกาศเข้ากระชับพื้นที่การชุมนุมว่า ตนได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบเหตุการณ์บริเวณแยกถนนวิทยุ ระหว่างการกระชับพื้นที่ซึ่งเขาอยู่แนวหลังทหาร เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
“กลุ่มชายฉกรรจ์ได้แอบลักลอบเข้าไปในสวนลุมฯ และขับรถมอเตอร์ไซค์ 2-3 คัน เข้ามาใกล้แนวทหาร ซึ่งไม่ทันระวังตัว เนื่องจากมีแนวต้นไม้ริมรั้วขึ้นสูง มีการกราดยิงด้วยปืนอาก้าใส่ทหาร โดยไม่ได้สนใจว่าจะโดนใครบ้าง ทำให้ผมกับสื่ออีกหลายชีวิตที่อยู่กับแนวทหารต้องหมอบราบกับพื้นโดยอัตโนมัติ” นายนิมิตระบุ
ทหารตกเป็นเป้าถูกโจมตีเจ็บอื้อ
ผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวไทยกล่าวต่อว่า ต่อมาทีมข่าวได้ถอนกำลังจากฝั่งสวนลุมพีนีไปอยู่แนวปะทะของทหารกับผู้ชุมนุมที่ชุมชนบ่อนไก่ กำลังทหารได้ผลักดันผู้ชุมนุมจนควบคุมสถานการณ์ได้ แต่แล้วในยามค่ำคืนซึ่งค่อนข้างมืดเพราะไม่มีไฟฟ้าใช้ ก็เกิดเหตุไม่คาดคิดเมื่อระเบิด M79 ถูกยิงใส่บังเกอร์ทหาร ทำให้มีจ่าทหารได้รับบาดเจ็บ 1 นาย โดยบาดแผลเห็นเนื้อและกระดูกขาวอย่าชัดเจน แต่เขายังคงเอาสก็อตเทปแปะไว้พร้อมบอกกับตนว่า ไม่เป็นอะไรจะไปยิงต่อ
“ผมสังเกตการณ์อยู่ตลอดเพราะไปไหนไม่ได้ และต้องรายงานข่าวตลอดทั้งวัน เห็นผู้ชุมนุมเข้าใจว่าเป็นวัยรุ่นบิดมอเตอร์ไซค์ ยกล้อ ตะโกนเชียร์กันเสียงดัง และวิ่งมาใกล้แนวรั้ว ซึ่งมองว่าต้องการยั่วยุทหารที่ปักหลักรักษาการณ์จุดดังกล่าวมากขึ้น กลุ่มควันที่พวยพุ่งอย่างรุนแรงจากการเผายางรถยนต์ยังคละคลุ้งผู้ชุมนุมหลายคนที่มีอาวุธและระเบิดเพลิงในมือโดยพยายามบุกเข้ามาในตอนกลางคืน ซึ่งตรงนั้นถือว่ามืดมาก ก็จะถูกสอยโดยพลแม่นปืนของทหารอยู่ตลอด จุดนั้นมือยิงถูกนำเสนอเป็นภาพข่าวใน นสพ.ไทยรัฐด้วย” ในบทความระบุ
อีกตอนหนึ่ง นายนิมิตกล่าวว่า ระหว่างเดินทางกลับทราบว่าพลทหารซุ่มยิงซึ่งประจำตรงจุดที่ตนเพิ่งถอนทีม ถูกยิงหัว แต่เขาใส่หมวกเหล็ก ทำให้ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย นอกจากนี้ นิมิตกล่าวถึงในช่วงวันสุดท้ายก่อนจะมีการยุติและสลายการชุมนุมว่า ตนกลับไปอยู่ในจุดชุมชนบ่อนไก่อีก วันนั้นพลซุ่มยิงของทหาร ที่แอบขึ้นไปอยู่ที่ชั้น 15 ของอาคารที่กำลังก่อสร้าง ถูกซุ่มยิงไม่ทราบทิศทาง ซึ่งไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้
“ทหารคนนั้นได้รับบาดเจ็บที่ท้อง ถูกลำเลียงส่งโรงพยาบาลเร่งด่วน ด้วยสภาพทุลักทุเล เพราะลำเลียงทางบันไดจากชั้น 15 ลงมา เนื่องจากไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้ ก่อนจะนำขึ้นรถพยาบาลซึ่งถูกนำมาจอดข้างถนน ทหารปฏิบัติการลำเลียงผู้ป่วย คล้ายกับที่ใช้ในยุทธการ หรือในสนามรบตามที่ได้รับการฝึกมา คือ วางแนวยิงของทหาร 10 กว่านาย วิ่งระดมยิงด้วยปืนชนิดต่างๆ ออกไปอย่างต่อเนื่อง จนรถพยาบาลวิ่งออกไปได้ คาดว่าป้องกันไม่ให้ถูกซุ่มโจมตี ระหว่างเอาคนเจ็บมาขึ้นรถพยาบาล”
นายนิมิตกล่าวเพิ่มเติมว่า เหตุการณ์นี้ มีนักการเมืองนำภาพทหารนุ่งกางเกงขาสั้นสะพายเอ็ม 16 ไปเผยแพร่ทางสื่อ เพราะภาพชายชุดลำลองที่สะพายปืนซึ่งฝ่ายค้านหยิบยกมาอภิปรายในสภา และรัฐบาลชี้แจงว่าเป็นทหารส่งข้าวก็เกิดจากจุดนี้นี่เอง อย่างไรก็ตามเขาได้ให้ความเห็นว่าแม้ทหารจะผ่านการฝึกรบมาอย่างโชกโชน แต่ด้วยสถานการณ์ที่ต้องปะทะกับคนไทยด้วยกัน ทำให้ได้รับแรงกดดันและเครียด เนื่องจากต้องยิงปืนใส่พี่น้องคนไทยด้วยกัน ทั้งๆ ที่ไม่อยากยิง
โปรดิวเซอร์ทีวีไทย เผย “แดง” ปูพรมประทัดยักษ์ก่อนยิง M79
นอกจากนี้ในหัวเรื่อง “สไนเปอร์จากฝั่งแดง” กองบรรณาธิการจุลสารราชดำเนินได้สัมภาษณ์นายปรีชาพล อินทรโชติ โปรดิวเซอร์ข่าว สถานีโทรทัศน์ทีวีไทย ซึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์ความรุนแรงที่ชุมชนบ่อนไก่ ที่ปักหลักอยู่หลังแนวทหารที่ชุมชนบ่อนไก่นานกว่า 5 วัน ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่นอนหลับมีระเบิด M79 มาตรงแนวทหารอยู่ 3 ลูก และช่วงกลางคืนมีเสียงตูมตามต่อเนื่องทั้งคืน ซึ่งระเบิด M79 ตนได้ยินเสียงทุกวัน แต่ละวันเกิดขึ้นตั้งแต่พระอาทิตย์ตกดิน หรือหลังเที่ยงคืนจนถึงเช้าอีกวัน บางวันอาจมีถึง 5-6 ลูก แต่รวมทั้งหมดแล้วเป็นสิบลูก โดยจะมีประทัดยักษ์ขึ้นมาก่อน และก็จะตามมาด้วย M79 ลูกหนึ่ง
นายปรีชาพลระบุว่า ทหารบอกว่ามีสไนเปอร์อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วย บนตึกลุมพินีทาวเวอร์ บางวันทหารก็เห็นกระจกเปิด บางวันก็กระจกปิด และก็เห็นลักษณะคล้ายๆ คน ทหารจึงสงสัยว่าจะมีสไนเปอร์ของฝั่งตรงข้ามอยู่ด้วย และตอนกลางคืนทหารมีการแจ้งเตือนตลอดเวลาว่ามีกลุ่มคนเข้ามาใช้อาวุธหนักกับทหาร ซึ่งในช่วงกลางวันมีคนใช้ปืนสั้นยิงเข้ามา และก็มีคนใช้ปืนยาว ลักษณะคล้ายๆ ปืนไทยประดิษฐ์ ยิ่งเข้ามาจากฝั่งตรงข้าม ซึ่งตนเห็นกับตา โดยตอนที่ยิงบุคคลเหล่านั้นแต่งกายด้วยชุดสีดำ ใส่หมวกพรางหน้า
“ดูลักษณะของฝั่งตรงข้ามแล้ว เขาดำเนินยุทธวิธีคล้ายกับทหารเหมือนกัน ไม่ว่าการวางแผน การเข้าตี ดูแล้วน่าจะต้องมีคนที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในการดำเนินยุทธวิธีในฝั่งตรงข้ามด้วย เช่น ช่วงกลางคืน เขาก็จะมีชุดหมอบคลานเข้ามา คล้ายว่าจะยิง M79 เพราะถ้ายิง M79 ระยะยิงจากแนวของกลุ่มผู้ชุมนุม มันจะตกไม่ถึงแนวทหารเพราะมันยังมีรั้วลวดหนาม ฉะนั้นวิธีง่ายที่สุด คือ เขาต้องพยายามเข้ามาให้ใกล้แนวทหารให้มากที่สุด ฉะนั้น ผมเชื่อว่าถ้าเป็นกลุ่มผู้ชุมนุมเองคงไม่กล้าที่จะเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงขนาดนี้” นายปรีชาพลระบุ
นายปรีชาพลยังกล่าวว่า ตนเชื่อว่ามีสไนเปอร์จากฝั่งตรงข้ามของทหาร เพราะว่าลักษณะของชุดที่เข้าไปอยู่โดยปกติแล้ว สไนเปอร์จะวางตัวอยู่ในที่สูง และสไนเปอร์เขาจะวางในที่ที่มองเห็นลำบาก ตนจึงเชื่อว่าฝั่งตรงข้ามก็มีการวางตัวในที่สูง โดยคนที่สูงในระดับเดียวกัน มันจะมองเห็นกัน แต่ถ้าเป็นชุดที่อยู่ข้างล่างมองสไนเปอร์ไม่เห็นแน่นอน นอกจากนี้เท่าที่ดูลักษณะของการกระทำ แสดงว่าฝั่งของกลุ่มผู้ชุมนุมก็มีการดำเนินกลยุทธ์ทางทหาร ทางยุทธวิธี ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าจะต้องมีบุคคลหรือกลุ่มคนที่ผ่านการเรียน ฝึกการใช้อาวุธ หรือเรียนเรื่องการดำเนินกลยุทธ์ทางการทหารเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะดูลักษณะการวางกำลัง การถอยร่น ตั้งรับ หรือการก่อกวน ดำเนินกลยุทธ์ทางด้านจิตวิทยา เขาก็เป็นไปตามหลักตามตำราของทหาร ตนเชื่อว่าไม่ใช่เป็นแค่กลุ่มผู้ชุมนุมที่มาต่อต้านรัฐบาล แต่มีกลุ่มคนที่มีความสามารถในทางทหารเข้ามาในกลุ่มผู้ชุมนุมด้วย
ยันแดงเผาเซ็นทรัลเวิลด์ เพราะแค้นแกนนำเลิกชุมนุม
อีกด้านหนึ่ง ในช่วงที่แกนนำ นปช.ประกาศยุติการชุมนุมบนเวทีแยกราชประสงค์ ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์จลาจลใจกลางกรุงเทพฯ กองบรรณาธิการจุลสารราชดำเนินได้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่อยู่ในเหตุการณ์ โดยนายอภิชัย แก้วกล้า ช่างภาพของสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี (ช่อง 9) กล่าวว่า ขณะที่แกนนำประกาศให้ผู้ชุมนุมเดินทางกลับ ผู้ชุมนุมบางส่วนที่ไม่พอใจเริ่มมีปฏิกิริยาด้วยการขว้างก้อนหินใส่กระจกห้างสรรพสินค้า และจุดไฟระเบิดขวดที่ทำขึ้นเอง
“หลังแกนนำลงเวทีได้เดินไปมอบตัวที่ สตช.ก็ได้เข้าไปอยู่ภายในโรงพยาบาลตำรวจ ได้ถ่ายภาพซูมมาฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นห้างเซ็นทรัลเวิลด์ฝั่งเซนเห็นชายกลุ่มหนึ่งแต่งตัวคล้ายการ์ด นปช. ขี่รถมอเตอร์ไซต์มาจอดด้านหน้า ถอดหมวกแก๊ป และนำหมวกไหมพรมมาใส่ปกปิดใบหน้า ก่อนเดินมุ่งหน้าเข้าไปใช้ทั้งหิน ระเบิดขวด ทุบทำลายกระจกห้างและเข้าไปภายในห้าง ระหว่างนั้นยังคงมีเสียงดังคล้ายระเบิดและปืนเป็นระยะ” นายอภิชัยกล่าว
ด้าน น.ส.ดาวี ไชยคีรี ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทย กล่าวถึงเหตุการณ์ในเวลานั้นเช่นกันว่า หลังแกนนำเริ่มประกาศทิ้งเวที แต่ผู้ชุมนุมไม่ยอมรับเพราะอารมณ์ร่วมที่ตกค้างหลังชุมนุมมานาน ภาพและเสียงสุดท้ายบนเวทีที่ยังติดตาอยู่ คือ เสียงคล้ายระเบิดหลายตูม ดังมาจากทิศทางที่ไม่สามารถระบุได้ แกนนำต่างหน้าถอดสี เป็นตัวเร่งให้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.ปิดเวทีเร็วขึ้น ก่อนที่จะเดินไปมอบตัวที่ สตช. โดยมีการ์ด นปช.และผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งติดตามไปด้วย
“ภาพการวิ่งเตลิดอย่างไร้ทิศทางและความชุลมุนเริ่มขึ้น เราตัดสินใจร่วมชะตากรรมวิ่งไปพร้อมกับผู้ชุมนุมเพื่อหาที่ตั้งสังเกตการณ์ เบียดเสียดไปกับผู้ชุมนุม พยายามเข้าไปในรั้วของโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งอยู่ใกล้เวทีที่สุด ตอนนั้นเห็นผู้ชุมนุมเริ่มขว้างปาสิ่งของและระเบิดขวดเข้าไปในห้างเซ็นทรัลเวิลด์ด้วยอารมณ์โกธรแค้น ไฟเริ่มลุกไหม้ ช่วงแรกยังโหมไม่มากนัก แต่มีการเติมเชื้อเพิ่มเติมเข้าไปทำให้ไฟลุกโชนมากขึ้น รถดับเพลิงไม่สามารถเข้ามาได้ ไม่มีใครคิดช่วยยับยั้ง” น.ส.ดาวีระบุ
คมชัดลึกเผย 6 ศพวัดปทุมฯ 2 รายถูกยิงมาจากข้างนอก
ส่วนกรณีผู้เสียชีวิต 6 รายในวัดปทุมวนาราม ซึ่งก่อนหน้านี้ได้จัดให้เป็นพื้นที่อภัยทาน และในช่วงสลายการชุมนุมก็มีผู้ชุมนุมหลบเข้าไปในวัดจำนวนมาก ก็มีการบันทึกในบทความเรื่อง “ภาพที่เห็นกับตาในวัดปทุม” เขียนโดย น.ส.พรรณี อมรวิพุธพนิช ผู้สื่อข่าว นสพ.คมชัดลึก ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้สื่อข่าวที่อยู่ในวัดปทุมวนาราม ตั้งแต่ช่วงเกิดเหตุกระสุนชุดแรกถูกยิงเข้ามาบริเวณหน้าวัดเมื่อเย็นวันที่ 19 พ.ค. ถึงเที่ยงของอีกวันหนึ่ง
น.ส.พรรณียืนยันว่า ที่กล่าวกันว่าผู้ที่อยู่ภายในวัดปทุมวนารามถูกยิงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะตนเห็นมีผู้ถูกยิง 2 รายที่ถูกยิงนอกวัด แต่ศพถูกนำมาเก็บไว้ที่วัดปทุมวนาราม เมื่อกลุ่มเสื้อแดงต่างจังหวัดพยายามเข้ามาซักถามว่าด้านหน้าประตูวัดเป็นอย่างไรบ้าง ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาว่าพวกทหารยิงใส่ผู้ชุมนุมในวัด บ้างก็ว่าพวกพันธมิตรฯ แฝงมาฆ่าผู้ชุมนุม แม้จะอธิบายว่าไม่ใช่ในวัดแต่อยู่ใกล้ประตูวัด และไม่เห็นว่าใครเป็นคนยิง แต่ผู้ชุมนุมไม่สนใจฟัง ยังเชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิด
นอกจากนี้ เมื่อมีผู้ชุมนุมบอกต่อว่า มีผู้ชุมนุมเสื้อแดงถูกยิงในวัดอีก 4 ศพ เมื่อพยายามสอบถามข้อเท็จจริงก็ดูเหมือนจะไม่มีใครเห็นกับตา มีแต่ฟังเขาเล่ามา เมื่อหาทางเดินย้อนกลับไปหน้าประตูวัดอีกครั้ง การ์ดเสื้อแดงที่เป็นผู้ชาย 4-5 คน ไม่ให้ผ่านออกไป โดยขู่ว่าเป็นเขตอันตรายมาก มีคนถูกยิงตายในวัดแล้วหลายศพ ประมาณ 2 ทุ่ม ศพผู้เสียชีวิตทั้งหกรายนำมานอนเรียงกัน ผู้คนยืนมุงดูพร้อมวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา มีเจ้าหน้าที่อาสาสมัครหน่วยกู้ภัยรายหนึ่งยืนยันถึงสิ่งที่เขาเห็นกับตาว่า มีทหารอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอสยิงลงมา แต่ใช่ว่าทุกคนจะเชื่อตามคำพูดนั้น
น.ส.พรรณีตั้งข้อสังเกตว่า ความเชื่อของผู้ชุมนุมเกี่ยวกับการเสียชีวิตของผู้ชุมนุม 6 ราย พบว่ามีอยู่ 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่เชื่อว่าคนยิงที่ใส่ชุดทหารเป็นทหารจริง, กลุ่มที่เชื่อว่าคนยิงเป็นทหารปลอมแฝงตัวมาหวังฆ่าประชาชนให้เกิดจลาจล, กลุ่มที่เชื่อว่าคนยิงเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ไม่ใช่ทั้งเสื้อแดงและทหาร, กลุ่มที่เชื่อว่าคนยิงเป็นกลุ่มการ์ดพันธมิตรสวมใส่ชุดทหารมายิงที่วัด เพื่อแก้แค้นเสื้อแดง และกลุ่มที่เชื่อว่าคนยิงเป็นทหารรับจ้างต่างด้าว หรือทหารเพื่อนบ้านที่ถูกนักการเมืองอีสานคนหนึ่งจ้างมาฆ่าเสื้อแดงด้วยความสะใจ เมื่อฟังดูแล้วกลุ่มที่เชื่อว่าเป็นทหารจริงจะน้อยที่สุด เพราะโดยส่วนลึกแล้วคนไทยยังเชื่อว่า ทหารจะไม่ยิงชาวบ้านโดยไม่มีเหตุผล
ในอีกตอนหนึ่ง น.ส.พรรณีกล่าวถึงเหตุการณ์ในช่วงดึก ขณะหาที่นั่งพักด้านหลังวัด ฝั่งที่มองเห็นลานจอดรถสยามพารากอนซึ่งเป็นมุมที่มีลมโกรกและแสงสว่างเพียงพอ มีชาย 2 คนท่าทางเหมือนการ์ดเสื้อแดงเดินมายืนดูริมรั้วพร้อมกล้องส่องทางไกล สักพักมีชาย 3 คนเดินมาแล้วบอกชายกลุ่มแรกว่า ต้องย้ายคนออกจากที่นี่แล้ว เพราะมีสายส่งข้อมูลว่าทหารจะเข้ามาวางเพลิงและยิงเสื้อแดงทิ้งทั้งหมด แต่ 2 คนแรกไม่ยอม บอกว่าถ้าเอาคนเป็นพันออกไปตอนนี้ ยิ่งอันตราย เพราะข้างนอกมืดมาก คำตอบนี้ทำให้อีกกลุ่มไม่พอใจและบอกว่าจะไปหาหัวหน้า
เมื่อโทรศัพท์ไปเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนนักข่าวหลายคนฟัง พบว่าแต่ละคนวิเคราะห์แตกต่างกันไป เช่น คนพวกนั้นอาจไม่ใช่เสื้อแดงแต่เป็นทหารแฝงตัวมา เพื่อพาคนเสื้อแดงออกไปพ้นจากคิลลิงโซน (Killing Zone) หรืออาจเป็นการ์ดเสื้อแดงจริง แต่ทะเลาะกันเพราะเกิดความเครียด หรืออาจรู้ว่าตนเป็นนักข่าวก็เลยสร้างละครตบตา เพื่อให้กระจายข่าวออกไปว่าจะมีการวางเพลิงเผาวัด
อย่างไรก็ตาม บทความของ น.ส.พรรณีกล่าวทิ้งท้ายว่า “18.00-06.00 น. เวลา 12 ชั่วโมงในวัดปทุมฯ ค่ำคืนนั้น ทำให้ข้าพเจ้าเรียนรู้ว่าจากนี้ไปคำสั่งสอนใน “คัมภีร์นักข่าว” ที่เน้นย้ำว่า อย่ารายงานข่าวถ้าไม่ได้ “ เห็นกับตา” หรือ “ ได้ยินกับหู” คงจะไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะวันนี้คนไทยส่วนใหญ่สร้างความเชื่อของตัวเองขึ้นมาแล้ว ความจริงที่เห็นกับตาหรือได้ยินกับหู จะถูกดัดแปลงให้ตรงกับความเชื่อและความคิดเห็นส่วนตัวทันที ต่อไปนี้ข้อความที่อ้างว่า “ข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้” คงไม่มีความหมาย และไม่มีใครเชื่อถืออีกต่อไป !?!”
จุลสารฉบับนี้ได้แจกจ่ายแก่สมาชิกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และเปิดให้ดาวน์โหลดแก่ผู้สนใจที่เว็บไซต์ www.tja.or.th ในฉบับมีบทความที่น่าสนใจหลายเรื่อง รวมทั้งปฏิทินลำดับเวลา 69 วันชุมนุมเสื้อแดง สรุปจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช.โดยศูนย์เอราวัณและสรุปการใช้อาวุธ M79 ในช่วงที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ดำเนินการกระชับพื้นที่รอบแยกราชประสงค์ ฯลฯ
นักข่าวเนชั่นเปรียบ รถไฟ “เสื้อแดง” นายท่าอยู่ ตปท.
บทความเรื่อง “เมื่อรถไฟขบวนแดง แล่นออกจากสถานีประเทศไทย” ของนายเสถียร วิริยะพรรณพงศา ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวเนชั่น กล่าวในตอนต้นว่า การมองและตีความกลุ่มคนเสื้อแดงที่แตกต่างกันนั้นกลายเป็นปมปัญหา ซึ่งกลุ่มคนเสื้อแดงมีความซับซ้อนในตัวเอง เปรียบเหมือนรถไฟขบวนหนึ่งที่ประกอบไปด้วยผู้โดยสารจำนวนมาก ที่ขึ้นมาจากสถานีต่างกัน และมีเป้าหมายที่จะลงต่างกันไป ส่วนคนขับมีทั้งคนที่ขับจริงๆ กับนายท่าที่อยู่ต่างประเทศเป็นผู้กำหนด
“ดังจะเห็นว่าเมื่อรถไฟสีแดงขบวนนี้แล่นไปเรื่อยๆ จะพบว่ามีผู้คนขึ้นและลงแทบจะตลอดสาย ไม่เว้นแม้กระทั่งคนขับ วีระ มุสิกพงศ์ ประธาน นปช.เอง เมื่อถึงสถานีที่ตัวเองจะลงแล้ว พยายามตะโกนบอกผู้โดยสารให้ลง แต่เมื่อไม่มีใครทำตามก็พาพวก 3-4 คน เก็บกระเป๋าหนีลงไปก่อนอย่างหน้าตาเฉย” นายเสถียรกล่าว
นายเสถียรตั้งข้อสังเกตว่า การที่แต่ละคนอยากจะลงคนละสถานี เพราะแม้จะขึ้นมาบนรถไฟขบวนเดียวกัน แต่ก็มีวาระต่างกัน โครงสร้างขบวนเสื้อแดง ที่พบว่าซ้อนกันอยู่หลายชั้น ความคิดอ่านของแกนนำแต่ละกลุ่มไม่ค่อยจะลงรอยกันนัก ทั้งนี้ กลุ่มที่อยู่ในหัวขบวนหน้าสุดคือสามเกลอ เช่น นายวีระ มุสิกพงศ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายจากคนที่อยู่เมืองนอกให้กำหนดยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีการเคลื่อนไหวอย่างเบ็ดเสร็จ แต่ได้จัดตั้งคณะกรรมการ นปช.กว่า 20 คนเพื่อขยายแนวร่วม ซึ่งเป็นตัวแทนจากผู้คุมกำลังภาคส่วนต่างๆ
อีกด้านหนึ่งของการนำ มาจากซ้ายเก่าที่หลอมรวมจากฐานกำลังของอดีตนายกฯ ทักษิณ มีทั้งตัวที่เดินบนกระดานและเป็นตัวปิดที่เดินเกมใต้ดิน เรียกว่า “แกนเปิด” และ “แกนนำปิด” ซึ่งทำหน้าที่ผลิตชุดความคิด หรือออกแบบวาทกรรม โดยจะส่งผ่านนายณัฐวุฒิและนายจตุพรนำไปปราศรัยให้ชาวบ้านฟัง ที่เห็นชัดเจนคือวาทกรรม “สงครามชนชั้น” ที่ใช้เป็นเงื่อนไขปลุกพลังของคนยากคนจน รวมทั้งวาทกรรมว่า “ไพร่-อำมาตย์” ที่พยายามตอกย้ำว่าสังคมไทยมีการกดขี่อยู่จริง
นายเสถียรตั้งข้อสังเกตด้วยว่า การขยับเข้ามามีบทบาทของบรรดาซ้ายเก่าหรือคนเดือนตุลา ด้านหนึ่งเป็นจุดแข็งเพราะสามารถอธิบายต่อสังคมได้ว่า การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นมาจากอุดมการณ์ ไม่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่อีกด้านหนึ่งความศรัทธาในรูปแบบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ได้กลายเป็นจุดอ่อนให้ถูกโจมตีเรื่องการโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ยังมีแก๊งฮาร์ดคอร์เป็นตัวแปรของสถานการณ์ เปิดช่องให้ข้อหาก่อการร้ายมีเหตุผลขึ้น นำไปสู่การที่รัฐใช้กำลังปราบปรามในที่สุด
“ยิ่งบวกกับการปราศรัยบนเวทีที่ผู้ปราศรัยหลายคนพูดจาฉวัดเฉวียด จวนเจียนจะหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ แกนนำบางรายถึงกับยกตัวอย่างทำนองว่าสาเหตุความแตกแยกที่เกิดขึ้นนั้นปัจจัยสำคัญมาจาก “พ่อแม่ไม่ให้ความเป็นธรรมกับลูกเหมือนที่ให้กับทุกๆ คน” มีการกระทำอันเป็นสองมาตรฐาน การพูดลักษณะนี้จึงถูกตีความว่าหมายความว่าจริงๆ แล้วเป้าหมายที่มาเรียกร้องแค่ยุบสภาแน่หรือ” บทความระบุ
นายเสถียรกล่าวโดยสรุปว่า ไม่ว่าศูนย์การนำจะกระจายอยู่เป็นส่วนๆ ไม่เป็นเอกภาพแต่แม่น้ำทุกสายต้องไหลกลับเข้าสู่แม่น้ำสายใหญ่คือ พ.ต.ท.ทักษิณ เขาคือผู้ยึดโยงการเคลื่อนไหวทุกสาย ทั้งสายสันติวิธี สายกองกำลัง สายการเมือง ซ้ายเก่า พรรคเพื่อไทย อิทธิพลของเขาแผ่ขยายไปควบคุมมวลชนกลุ่มย่อยตามจังหวัดต่างๆ ถึงแม้ว่าแกนนำจะแตกแยกจะเห็นได้ว่ามวลชนไม่ได้ถูกแบ่งแยกตามไปด้วย
เหยี่ยวข่าวสำนักข่าวไทย ยันมีไอ้โม่งในสวนลุมฯ ยิงกราดใส่ทหาร
ส่วนกรณีปัญหากองกำลังติดอาวุธ ที่ก่อนหน้านี้กลุ่มคนเสื้อแดงบางส่วนออกมายอมรับว่ามีอยู่จริง ขณะที่อีกส่วนพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงโดยปฏิเสธว่าในกลุ่มคนเสื้อแดงไม่มีการติดอาวุธ ก็ได้มีการพูดถึงในบทความเรื่อง “ใครยิงใคร” ซึ่งเขียนโดย นายนิมิต สุขประเสริฐ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทย
นายนิมิต กล่าวถึงการทำข่าวในวันแรกที่ทหารประกาศเข้ากระชับพื้นที่การชุมนุมว่า ตนได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบเหตุการณ์บริเวณแยกถนนวิทยุ ระหว่างการกระชับพื้นที่ซึ่งเขาอยู่แนวหลังทหาร เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
“กลุ่มชายฉกรรจ์ได้แอบลักลอบเข้าไปในสวนลุมฯ และขับรถมอเตอร์ไซค์ 2-3 คัน เข้ามาใกล้แนวทหาร ซึ่งไม่ทันระวังตัว เนื่องจากมีแนวต้นไม้ริมรั้วขึ้นสูง มีการกราดยิงด้วยปืนอาก้าใส่ทหาร โดยไม่ได้สนใจว่าจะโดนใครบ้าง ทำให้ผมกับสื่ออีกหลายชีวิตที่อยู่กับแนวทหารต้องหมอบราบกับพื้นโดยอัตโนมัติ” นายนิมิตระบุ
ทหารตกเป็นเป้าถูกโจมตีเจ็บอื้อ
ผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวไทยกล่าวต่อว่า ต่อมาทีมข่าวได้ถอนกำลังจากฝั่งสวนลุมพีนีไปอยู่แนวปะทะของทหารกับผู้ชุมนุมที่ชุมชนบ่อนไก่ กำลังทหารได้ผลักดันผู้ชุมนุมจนควบคุมสถานการณ์ได้ แต่แล้วในยามค่ำคืนซึ่งค่อนข้างมืดเพราะไม่มีไฟฟ้าใช้ ก็เกิดเหตุไม่คาดคิดเมื่อระเบิด M79 ถูกยิงใส่บังเกอร์ทหาร ทำให้มีจ่าทหารได้รับบาดเจ็บ 1 นาย โดยบาดแผลเห็นเนื้อและกระดูกขาวอย่าชัดเจน แต่เขายังคงเอาสก็อตเทปแปะไว้พร้อมบอกกับตนว่า ไม่เป็นอะไรจะไปยิงต่อ
“ผมสังเกตการณ์อยู่ตลอดเพราะไปไหนไม่ได้ และต้องรายงานข่าวตลอดทั้งวัน เห็นผู้ชุมนุมเข้าใจว่าเป็นวัยรุ่นบิดมอเตอร์ไซค์ ยกล้อ ตะโกนเชียร์กันเสียงดัง และวิ่งมาใกล้แนวรั้ว ซึ่งมองว่าต้องการยั่วยุทหารที่ปักหลักรักษาการณ์จุดดังกล่าวมากขึ้น กลุ่มควันที่พวยพุ่งอย่างรุนแรงจากการเผายางรถยนต์ยังคละคลุ้งผู้ชุมนุมหลายคนที่มีอาวุธและระเบิดเพลิงในมือโดยพยายามบุกเข้ามาในตอนกลางคืน ซึ่งตรงนั้นถือว่ามืดมาก ก็จะถูกสอยโดยพลแม่นปืนของทหารอยู่ตลอด จุดนั้นมือยิงถูกนำเสนอเป็นภาพข่าวใน นสพ.ไทยรัฐด้วย” ในบทความระบุ
อีกตอนหนึ่ง นายนิมิตกล่าวว่า ระหว่างเดินทางกลับทราบว่าพลทหารซุ่มยิงซึ่งประจำตรงจุดที่ตนเพิ่งถอนทีม ถูกยิงหัว แต่เขาใส่หมวกเหล็ก ทำให้ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย นอกจากนี้ นิมิตกล่าวถึงในช่วงวันสุดท้ายก่อนจะมีการยุติและสลายการชุมนุมว่า ตนกลับไปอยู่ในจุดชุมชนบ่อนไก่อีก วันนั้นพลซุ่มยิงของทหาร ที่แอบขึ้นไปอยู่ที่ชั้น 15 ของอาคารที่กำลังก่อสร้าง ถูกซุ่มยิงไม่ทราบทิศทาง ซึ่งไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้
“ทหารคนนั้นได้รับบาดเจ็บที่ท้อง ถูกลำเลียงส่งโรงพยาบาลเร่งด่วน ด้วยสภาพทุลักทุเล เพราะลำเลียงทางบันไดจากชั้น 15 ลงมา เนื่องจากไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้ ก่อนจะนำขึ้นรถพยาบาลซึ่งถูกนำมาจอดข้างถนน ทหารปฏิบัติการลำเลียงผู้ป่วย คล้ายกับที่ใช้ในยุทธการ หรือในสนามรบตามที่ได้รับการฝึกมา คือ วางแนวยิงของทหาร 10 กว่านาย วิ่งระดมยิงด้วยปืนชนิดต่างๆ ออกไปอย่างต่อเนื่อง จนรถพยาบาลวิ่งออกไปได้ คาดว่าป้องกันไม่ให้ถูกซุ่มโจมตี ระหว่างเอาคนเจ็บมาขึ้นรถพยาบาล”
นายนิมิตกล่าวเพิ่มเติมว่า เหตุการณ์นี้ มีนักการเมืองนำภาพทหารนุ่งกางเกงขาสั้นสะพายเอ็ม 16 ไปเผยแพร่ทางสื่อ เพราะภาพชายชุดลำลองที่สะพายปืนซึ่งฝ่ายค้านหยิบยกมาอภิปรายในสภา และรัฐบาลชี้แจงว่าเป็นทหารส่งข้าวก็เกิดจากจุดนี้นี่เอง อย่างไรก็ตามเขาได้ให้ความเห็นว่าแม้ทหารจะผ่านการฝึกรบมาอย่างโชกโชน แต่ด้วยสถานการณ์ที่ต้องปะทะกับคนไทยด้วยกัน ทำให้ได้รับแรงกดดันและเครียด เนื่องจากต้องยิงปืนใส่พี่น้องคนไทยด้วยกัน ทั้งๆ ที่ไม่อยากยิง
โปรดิวเซอร์ทีวีไทย เผย “แดง” ปูพรมประทัดยักษ์ก่อนยิง M79
นอกจากนี้ในหัวเรื่อง “สไนเปอร์จากฝั่งแดง” กองบรรณาธิการจุลสารราชดำเนินได้สัมภาษณ์นายปรีชาพล อินทรโชติ โปรดิวเซอร์ข่าว สถานีโทรทัศน์ทีวีไทย ซึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์ความรุนแรงที่ชุมชนบ่อนไก่ ที่ปักหลักอยู่หลังแนวทหารที่ชุมชนบ่อนไก่นานกว่า 5 วัน ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่นอนหลับมีระเบิด M79 มาตรงแนวทหารอยู่ 3 ลูก และช่วงกลางคืนมีเสียงตูมตามต่อเนื่องทั้งคืน ซึ่งระเบิด M79 ตนได้ยินเสียงทุกวัน แต่ละวันเกิดขึ้นตั้งแต่พระอาทิตย์ตกดิน หรือหลังเที่ยงคืนจนถึงเช้าอีกวัน บางวันอาจมีถึง 5-6 ลูก แต่รวมทั้งหมดแล้วเป็นสิบลูก โดยจะมีประทัดยักษ์ขึ้นมาก่อน และก็จะตามมาด้วย M79 ลูกหนึ่ง
นายปรีชาพลระบุว่า ทหารบอกว่ามีสไนเปอร์อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วย บนตึกลุมพินีทาวเวอร์ บางวันทหารก็เห็นกระจกเปิด บางวันก็กระจกปิด และก็เห็นลักษณะคล้ายๆ คน ทหารจึงสงสัยว่าจะมีสไนเปอร์ของฝั่งตรงข้ามอยู่ด้วย และตอนกลางคืนทหารมีการแจ้งเตือนตลอดเวลาว่ามีกลุ่มคนเข้ามาใช้อาวุธหนักกับทหาร ซึ่งในช่วงกลางวันมีคนใช้ปืนสั้นยิงเข้ามา และก็มีคนใช้ปืนยาว ลักษณะคล้ายๆ ปืนไทยประดิษฐ์ ยิ่งเข้ามาจากฝั่งตรงข้าม ซึ่งตนเห็นกับตา โดยตอนที่ยิงบุคคลเหล่านั้นแต่งกายด้วยชุดสีดำ ใส่หมวกพรางหน้า
“ดูลักษณะของฝั่งตรงข้ามแล้ว เขาดำเนินยุทธวิธีคล้ายกับทหารเหมือนกัน ไม่ว่าการวางแผน การเข้าตี ดูแล้วน่าจะต้องมีคนที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในการดำเนินยุทธวิธีในฝั่งตรงข้ามด้วย เช่น ช่วงกลางคืน เขาก็จะมีชุดหมอบคลานเข้ามา คล้ายว่าจะยิง M79 เพราะถ้ายิง M79 ระยะยิงจากแนวของกลุ่มผู้ชุมนุม มันจะตกไม่ถึงแนวทหารเพราะมันยังมีรั้วลวดหนาม ฉะนั้นวิธีง่ายที่สุด คือ เขาต้องพยายามเข้ามาให้ใกล้แนวทหารให้มากที่สุด ฉะนั้น ผมเชื่อว่าถ้าเป็นกลุ่มผู้ชุมนุมเองคงไม่กล้าที่จะเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงขนาดนี้” นายปรีชาพลระบุ
นายปรีชาพลยังกล่าวว่า ตนเชื่อว่ามีสไนเปอร์จากฝั่งตรงข้ามของทหาร เพราะว่าลักษณะของชุดที่เข้าไปอยู่โดยปกติแล้ว สไนเปอร์จะวางตัวอยู่ในที่สูง และสไนเปอร์เขาจะวางในที่ที่มองเห็นลำบาก ตนจึงเชื่อว่าฝั่งตรงข้ามก็มีการวางตัวในที่สูง โดยคนที่สูงในระดับเดียวกัน มันจะมองเห็นกัน แต่ถ้าเป็นชุดที่อยู่ข้างล่างมองสไนเปอร์ไม่เห็นแน่นอน นอกจากนี้เท่าที่ดูลักษณะของการกระทำ แสดงว่าฝั่งของกลุ่มผู้ชุมนุมก็มีการดำเนินกลยุทธ์ทางทหาร ทางยุทธวิธี ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าจะต้องมีบุคคลหรือกลุ่มคนที่ผ่านการเรียน ฝึกการใช้อาวุธ หรือเรียนเรื่องการดำเนินกลยุทธ์ทางการทหารเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะดูลักษณะการวางกำลัง การถอยร่น ตั้งรับ หรือการก่อกวน ดำเนินกลยุทธ์ทางด้านจิตวิทยา เขาก็เป็นไปตามหลักตามตำราของทหาร ตนเชื่อว่าไม่ใช่เป็นแค่กลุ่มผู้ชุมนุมที่มาต่อต้านรัฐบาล แต่มีกลุ่มคนที่มีความสามารถในทางทหารเข้ามาในกลุ่มผู้ชุมนุมด้วย
ยันแดงเผาเซ็นทรัลเวิลด์ เพราะแค้นแกนนำเลิกชุมนุม
อีกด้านหนึ่ง ในช่วงที่แกนนำ นปช.ประกาศยุติการชุมนุมบนเวทีแยกราชประสงค์ ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์จลาจลใจกลางกรุงเทพฯ กองบรรณาธิการจุลสารราชดำเนินได้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่อยู่ในเหตุการณ์ โดยนายอภิชัย แก้วกล้า ช่างภาพของสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี (ช่อง 9) กล่าวว่า ขณะที่แกนนำประกาศให้ผู้ชุมนุมเดินทางกลับ ผู้ชุมนุมบางส่วนที่ไม่พอใจเริ่มมีปฏิกิริยาด้วยการขว้างก้อนหินใส่กระจกห้างสรรพสินค้า และจุดไฟระเบิดขวดที่ทำขึ้นเอง
“หลังแกนนำลงเวทีได้เดินไปมอบตัวที่ สตช.ก็ได้เข้าไปอยู่ภายในโรงพยาบาลตำรวจ ได้ถ่ายภาพซูมมาฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นห้างเซ็นทรัลเวิลด์ฝั่งเซนเห็นชายกลุ่มหนึ่งแต่งตัวคล้ายการ์ด นปช. ขี่รถมอเตอร์ไซต์มาจอดด้านหน้า ถอดหมวกแก๊ป และนำหมวกไหมพรมมาใส่ปกปิดใบหน้า ก่อนเดินมุ่งหน้าเข้าไปใช้ทั้งหิน ระเบิดขวด ทุบทำลายกระจกห้างและเข้าไปภายในห้าง ระหว่างนั้นยังคงมีเสียงดังคล้ายระเบิดและปืนเป็นระยะ” นายอภิชัยกล่าว
ด้าน น.ส.ดาวี ไชยคีรี ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทย กล่าวถึงเหตุการณ์ในเวลานั้นเช่นกันว่า หลังแกนนำเริ่มประกาศทิ้งเวที แต่ผู้ชุมนุมไม่ยอมรับเพราะอารมณ์ร่วมที่ตกค้างหลังชุมนุมมานาน ภาพและเสียงสุดท้ายบนเวทีที่ยังติดตาอยู่ คือ เสียงคล้ายระเบิดหลายตูม ดังมาจากทิศทางที่ไม่สามารถระบุได้ แกนนำต่างหน้าถอดสี เป็นตัวเร่งให้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.ปิดเวทีเร็วขึ้น ก่อนที่จะเดินไปมอบตัวที่ สตช. โดยมีการ์ด นปช.และผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งติดตามไปด้วย
“ภาพการวิ่งเตลิดอย่างไร้ทิศทางและความชุลมุนเริ่มขึ้น เราตัดสินใจร่วมชะตากรรมวิ่งไปพร้อมกับผู้ชุมนุมเพื่อหาที่ตั้งสังเกตการณ์ เบียดเสียดไปกับผู้ชุมนุม พยายามเข้าไปในรั้วของโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งอยู่ใกล้เวทีที่สุด ตอนนั้นเห็นผู้ชุมนุมเริ่มขว้างปาสิ่งของและระเบิดขวดเข้าไปในห้างเซ็นทรัลเวิลด์ด้วยอารมณ์โกธรแค้น ไฟเริ่มลุกไหม้ ช่วงแรกยังโหมไม่มากนัก แต่มีการเติมเชื้อเพิ่มเติมเข้าไปทำให้ไฟลุกโชนมากขึ้น รถดับเพลิงไม่สามารถเข้ามาได้ ไม่มีใครคิดช่วยยับยั้ง” น.ส.ดาวีระบุ
คมชัดลึกเผย 6 ศพวัดปทุมฯ 2 รายถูกยิงมาจากข้างนอก
ส่วนกรณีผู้เสียชีวิต 6 รายในวัดปทุมวนาราม ซึ่งก่อนหน้านี้ได้จัดให้เป็นพื้นที่อภัยทาน และในช่วงสลายการชุมนุมก็มีผู้ชุมนุมหลบเข้าไปในวัดจำนวนมาก ก็มีการบันทึกในบทความเรื่อง “ภาพที่เห็นกับตาในวัดปทุม” เขียนโดย น.ส.พรรณี อมรวิพุธพนิช ผู้สื่อข่าว นสพ.คมชัดลึก ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้สื่อข่าวที่อยู่ในวัดปทุมวนาราม ตั้งแต่ช่วงเกิดเหตุกระสุนชุดแรกถูกยิงเข้ามาบริเวณหน้าวัดเมื่อเย็นวันที่ 19 พ.ค. ถึงเที่ยงของอีกวันหนึ่ง
น.ส.พรรณียืนยันว่า ที่กล่าวกันว่าผู้ที่อยู่ภายในวัดปทุมวนารามถูกยิงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะตนเห็นมีผู้ถูกยิง 2 รายที่ถูกยิงนอกวัด แต่ศพถูกนำมาเก็บไว้ที่วัดปทุมวนาราม เมื่อกลุ่มเสื้อแดงต่างจังหวัดพยายามเข้ามาซักถามว่าด้านหน้าประตูวัดเป็นอย่างไรบ้าง ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาว่าพวกทหารยิงใส่ผู้ชุมนุมในวัด บ้างก็ว่าพวกพันธมิตรฯ แฝงมาฆ่าผู้ชุมนุม แม้จะอธิบายว่าไม่ใช่ในวัดแต่อยู่ใกล้ประตูวัด และไม่เห็นว่าใครเป็นคนยิง แต่ผู้ชุมนุมไม่สนใจฟัง ยังเชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิด
นอกจากนี้ เมื่อมีผู้ชุมนุมบอกต่อว่า มีผู้ชุมนุมเสื้อแดงถูกยิงในวัดอีก 4 ศพ เมื่อพยายามสอบถามข้อเท็จจริงก็ดูเหมือนจะไม่มีใครเห็นกับตา มีแต่ฟังเขาเล่ามา เมื่อหาทางเดินย้อนกลับไปหน้าประตูวัดอีกครั้ง การ์ดเสื้อแดงที่เป็นผู้ชาย 4-5 คน ไม่ให้ผ่านออกไป โดยขู่ว่าเป็นเขตอันตรายมาก มีคนถูกยิงตายในวัดแล้วหลายศพ ประมาณ 2 ทุ่ม ศพผู้เสียชีวิตทั้งหกรายนำมานอนเรียงกัน ผู้คนยืนมุงดูพร้อมวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา มีเจ้าหน้าที่อาสาสมัครหน่วยกู้ภัยรายหนึ่งยืนยันถึงสิ่งที่เขาเห็นกับตาว่า มีทหารอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอสยิงลงมา แต่ใช่ว่าทุกคนจะเชื่อตามคำพูดนั้น
น.ส.พรรณีตั้งข้อสังเกตว่า ความเชื่อของผู้ชุมนุมเกี่ยวกับการเสียชีวิตของผู้ชุมนุม 6 ราย พบว่ามีอยู่ 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่เชื่อว่าคนยิงที่ใส่ชุดทหารเป็นทหารจริง, กลุ่มที่เชื่อว่าคนยิงเป็นทหารปลอมแฝงตัวมาหวังฆ่าประชาชนให้เกิดจลาจล, กลุ่มที่เชื่อว่าคนยิงเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ไม่ใช่ทั้งเสื้อแดงและทหาร, กลุ่มที่เชื่อว่าคนยิงเป็นกลุ่มการ์ดพันธมิตรสวมใส่ชุดทหารมายิงที่วัด เพื่อแก้แค้นเสื้อแดง และกลุ่มที่เชื่อว่าคนยิงเป็นทหารรับจ้างต่างด้าว หรือทหารเพื่อนบ้านที่ถูกนักการเมืองอีสานคนหนึ่งจ้างมาฆ่าเสื้อแดงด้วยความสะใจ เมื่อฟังดูแล้วกลุ่มที่เชื่อว่าเป็นทหารจริงจะน้อยที่สุด เพราะโดยส่วนลึกแล้วคนไทยยังเชื่อว่า ทหารจะไม่ยิงชาวบ้านโดยไม่มีเหตุผล
ในอีกตอนหนึ่ง น.ส.พรรณีกล่าวถึงเหตุการณ์ในช่วงดึก ขณะหาที่นั่งพักด้านหลังวัด ฝั่งที่มองเห็นลานจอดรถสยามพารากอนซึ่งเป็นมุมที่มีลมโกรกและแสงสว่างเพียงพอ มีชาย 2 คนท่าทางเหมือนการ์ดเสื้อแดงเดินมายืนดูริมรั้วพร้อมกล้องส่องทางไกล สักพักมีชาย 3 คนเดินมาแล้วบอกชายกลุ่มแรกว่า ต้องย้ายคนออกจากที่นี่แล้ว เพราะมีสายส่งข้อมูลว่าทหารจะเข้ามาวางเพลิงและยิงเสื้อแดงทิ้งทั้งหมด แต่ 2 คนแรกไม่ยอม บอกว่าถ้าเอาคนเป็นพันออกไปตอนนี้ ยิ่งอันตราย เพราะข้างนอกมืดมาก คำตอบนี้ทำให้อีกกลุ่มไม่พอใจและบอกว่าจะไปหาหัวหน้า
เมื่อโทรศัพท์ไปเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนนักข่าวหลายคนฟัง พบว่าแต่ละคนวิเคราะห์แตกต่างกันไป เช่น คนพวกนั้นอาจไม่ใช่เสื้อแดงแต่เป็นทหารแฝงตัวมา เพื่อพาคนเสื้อแดงออกไปพ้นจากคิลลิงโซน (Killing Zone) หรืออาจเป็นการ์ดเสื้อแดงจริง แต่ทะเลาะกันเพราะเกิดความเครียด หรืออาจรู้ว่าตนเป็นนักข่าวก็เลยสร้างละครตบตา เพื่อให้กระจายข่าวออกไปว่าจะมีการวางเพลิงเผาวัด
อย่างไรก็ตาม บทความของ น.ส.พรรณีกล่าวทิ้งท้ายว่า “18.00-06.00 น. เวลา 12 ชั่วโมงในวัดปทุมฯ ค่ำคืนนั้น ทำให้ข้าพเจ้าเรียนรู้ว่าจากนี้ไปคำสั่งสอนใน “คัมภีร์นักข่าว” ที่เน้นย้ำว่า อย่ารายงานข่าวถ้าไม่ได้ “ เห็นกับตา” หรือ “ ได้ยินกับหู” คงจะไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะวันนี้คนไทยส่วนใหญ่สร้างความเชื่อของตัวเองขึ้นมาแล้ว ความจริงที่เห็นกับตาหรือได้ยินกับหู จะถูกดัดแปลงให้ตรงกับความเชื่อและความคิดเห็นส่วนตัวทันที ต่อไปนี้ข้อความที่อ้างว่า “ข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้” คงไม่มีความหมาย และไม่มีใครเชื่อถืออีกต่อไป !?!”
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 1775 ครั้ง