วันที่ 30 กันยายน นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ สังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เปิดเผยว่า เมื่อเวลา เวลา 08.30 น. วันที่ 30 กันยายน ได้มีผู้ชายโทรศัพท์เข้ามาที่หมายเลข 191 หมายเลขแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายของกองบังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ (บก.ตปพ.) หรือตำรวจ 191 ระบุว่าจะมีการวางระเบิดภายในโรงพยาบาล (รพ.) ศิริราช ถนนพรานนก แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร (กทม.) ขอให้ระวังให้ดี แต่จากการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงของ บช.น.และทหารทั้ง 3 เหล่าทัพ ที่ตรวจสอบบริเวณรอบ รพ.ศิริราช และพื้นที่ใกล้เคียง ทั้งทางบกและทางน้ำ ไม่พบว่ามีวัตถุต้องสงสัยหรือระเบิดตามที่มีการโทรศัพท์เข้ามาแจ้ง อย่างไรก็ตาม มีการเพิ่มความเข้มงวด ทั้งเรื่องกำลังเจ้าหน้าที่และความเข้มในการตรวจสอบ เพื่อป้องกันไม่ให้มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น
จากการตรวจสอบพบว่าชายลึกลับที่โทรศัพท์เข้ามาสร้างความปั่นป่วนนี้ ใช้โทรศัพท์จากตู้โทรศัพท์สาธารณะที่ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ลักษณะการพูดของชายคนดังกล่าวมีสำเนียงออกเหน่อๆ สันนิษฐานว่าน่าจะมีเจตนาป่วนเมือง ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณใกล้เคียง และสอบถามพยานแวดล้อม เพื่อติดตามจับกุมชายลึกลับดังกล่าวมาดำเนินคดีต่อไป
ผบ.ตร.ชี้เป็นพวกสติฟั่นเฟือน
พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการสำนักงานสำงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยถึงกระแสข่าวกรณีที่ 191 ได้รับโทรศัพท์แจ้งขู่วางระเบิดที่โรงพยาบาลศิริราชว่า จากที่ทราบตรวจสอบจากกล้องวิดีโอวงจรปิดก็ไม่มีอะไร ซึ่งในความเห็นของตนคนที่ทำแบบนี้ก็เป็นพวกจิตฟั่นเฟือน ที่ผ่านมาเจอบ่อยแต่ไม่เป็นข่าวเท่านั้นเอง ซึ่งกรณีนี้ตนมองว่าคนที่ทำสติฟั่นเฟือน โดยที่ผ่านมาพอตามจับคนที่ก่อเหตุเช่นนี้ได้ ก็พบเป็นคนสติฟั่นเฟือนแบบนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีระเบิดที่โรงพยาบาลศิริราชเป็นการส่งสัญญาณ หรือสัญลักษณ์สื่อถึงอะไรหรือไม่ ผบ.ตร.กล่าวว่า เป็นคนจิตผิดปกติ ไม่ใช่การส่งสัญญาณหรือสัญลักษณ์อะไร
ผู้สื่อข่าวถามต่อถึงเหตุกรณีที่ออกมาระบุถึงหลักฐานดีเอ็นเอที่โยงถึงผู้ร่วมก่อเหตุวางระเบิด 5-6 คน ผบ.ตร.ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม
ส่วนกรณีที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.จะจัดงานระดมทุน ที่ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์นี้ ผบ.ตร.กล่าวว่า ได้มอบหมายให้ตำรวจในพื้นที่จัดเตรียมกำลังดูแลตามแผนที่วางไว้ปกติ ซึ่งจากการข่าวยังไม่พบสิ่งบอกเหตุที่จะก่อความรุนแรงใดๆ
ด้าน พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา รักษาราชการแทน ผบช.น. ว่าที่ ผบช.น.คนใหม่ เปิดเผยว่า เหตุระเบิดป่วนเมืองทั้งหมด อย่างกรณีล่าสุดที่มีคนขู่วางระเบิดโรงพยาบาลชื่อดังนั้น ทางตำรวจพยายามเร่งรัดติดตามตัวชายต้องสงสัยมาดำเนินคดี โดยไม่เฉพาะว่าสถานที่ใด ซึ่งตำรวจนครบาลต้องดูทุกจุด โดยตนเองเพิ่งมารับตำแหน่งวันแรก โดยช่วงนี้มีการเตรียมพร้อมเป็นพิเศษ โดยเป็นปกติของเดือนตุลาคมในแต่ละปี เพราะเป็นเดือนแห่งสัญลักษณ์ทางการเมืองหลายอย่าง ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เรียกประชุมเมื่อวานนี้ (30 ก.ย.) ได้วางมาตรการค่อนข้างชัดเจนในการดูแลความเรียบร้อยในกรุงเทพมหานคร
พล.ต.ท.จักรทิพย์กล่าวอีกว่า ทางการข่าวที่มีกลุ่มการเมือง 5-6 คน มาเกี่ยวข้องหรือไม่นั้น คงไม่ดูเฉพาะกลุ่มเดียว ซึ่งต้องดูทุกกลุ่มที่เคลื่อนไหว เพราะตำรวจมีฐานข้อมูลในการสืบสวนอยู่แล้ว เพียงแต่รอให้ชัดเจนเท่านั้น ซึ่งในเรื่องการลองของก็ต้องเกิดอยู่แล้ว โดยอยู่ที่ว่าจะป้องกันอย่างไรคงเดาใจคนจ้องก่อเหตุไม่ได้ ซึ่งบางครั้งอาจจะเป็นเรื่องส่วนตัวก็ได้ แต่ทุกคนในช่วงนี้คิดเป็นการเมืองไป ส่ง จนท.ฝังตัวกลุ่มไม่หวังดี-วอน ปชช.แจ้งเบาะแส
ทางด้าน พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการและบริหารเหตุการณ์ร้ายแรง มีการปฏิบัติการ 3 ส่วน คือ สืบสวนติดตามจับกุมคนร้าย ประกอบกำลังในชุดปฎิบัติการสืบสวนและไล่ล่า เพื่อรวบรวมข้อมูล วิธีการก่อเหตุ พฤติการณ์ของคนร้ายที่ก่อเหตุในแต่ละพื้นที่ เพื่อหาความเชื่อมโยง
ทั้งนี้ จากการฝึกซ้อมการปรับแผนป้องกันสกัดจับกุมคนร้ายในช่วง 3 คืนที่ผ่านมา สามารถหยุดยั้งเหตุได้ทัน โดยจุดที่ให้ความสนใจเป็นพิเศษ 4 จุด คือ หน้าโรงเรียนสันติราษฎร์วิทยาลัย บริเวณทางเข้าบริษัท คิงเพาเวอร์ ด้านถนนพญาไท ห้างเดอะมอลล์งามวงศ์วาน และลานจอดรถสำนักงานปลัดสาธารณสุข และสนามม้านางเลิ้ง เพราะ 4 จุด มีการประกอบระเบิดจริง ซึ่งจากเหตุระเบิดสถานที่ทั้ง 4 แห่ง เชื่อว่าเป็นคนร้ายกลุ่มเดียวกัน
ส่วนด้านการข่าวมีการปรับปรุงโดยการเฝ้าจุด เฝ้าติดตามและส่งคนเข้าไปฝังตัวอยู่ในกลุ่มผู้ไม่หวังดี จึงขอความร่วมมือประชาชนที่พบเหตุต้องสงสัยแจ้งเบาะแสได้ที่ 191 หรือ 1155 โดยจะมีรางวัลนำจับให้กับผู้ที่แจ้งเบาะแสผู้ต้องสงสัยรายละ 100,000 บาท
ขณะเดียวกัน ทางตำรวจได้นำภาพผู้ต้องสงสัยเหตุการณ์ว่างระเบิดในกรุงเทพฯ เพื่อให้ประชาชนแจ้งเบาะแสให้กับทางราชการ
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 1350 ครั้ง