วันที่ 13 ตุลาคม นายสมหวัง อัสราษี เจ้าของบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้า มิซูชิต้า ในฐานะผู้ดูแลบัญชีค่าใช้จ่ายในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เปิดเผยเกี่ยวกับกรณีที่ นายเมธี อมรวุฒิกุล ออกมาพูดถึงเงินบริจาค จำนวน 68 ล้านบาท ว่า ความจริงแล้ว เงินบริจาคทั้งหมดมีอยู่เพียง 37 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งตนเองไม่เข้าใจว่า นายเมธีเอาจำนวนเงินนี้มาจากตรงไหน และที่สำคัญเงินจำนวนดังกล่าวได้ใช้จ่ายไปหมดแล้ว ในช่วงการชุมนุมที่ผ่านมา ซึ่งมีบัญชีรายละเอียดทุกอย่าง โดยตนสามารถยืนยันได้ ซึ่งบัญชีดังกล่าวนั้น จะให้แกนนำดูทุก 30 วัน ว่าใช้เงินทำอะไร ในส่วนใดบ้าง ส่วนเรื่องเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ในส่วนนี้ ตนไม่ได้เป็นคนดูแล
อย่างไรก็ตาม นายสมหวังยังฝากบอกไปยัง นายเมธี หากมีหลักฐานว่า คนเสื้อแดงอมเงินหนีไป หรือ มีจำนวนเงิน 68 ล้านบาทนั้น ให้นำหลักฐานออกมายืนยัน ซึ่งตนพร้อมที่จะออกมาชี้แจงเช่นเดียวกัน ส่วนจะมีการฟ้องร้อง นายเมธี หรือไม่นั้น ต้องเป็นการตัดสินใจของ นายจตุพร พรหมพันธุ์
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 12 ตุบาคม ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ นายเมธี อมรวุฒิกุล แนวร่วมกลุ่มคนเสื้อแดง ในฐานะพยานในคดีก่อการร้ายที่อยู่ในโครงการคุ้มครองพยานของดีเอสไอ ได้เดินทางเข้ามาร้องต่อนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษว่า ถูกายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง และส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ได้โทรมาข่มขู่ปองร้ายถึงขั้นเอาชีวิต
นายเมธีกล่าวว่า วันนี้เดินทางมาพบอธิบดีดีเอสไอเพื่อรายงานเรื่องที่นายจตุพรได้โทร.มาข่มขู่ตนว่าจะตามล่า ตามฆ่า จึงจะขอเปิดเผยในหลายประเด็นของพฤติกรรมนายจตุพร เช่น กล่าวให้ร้ายตนเองว่าเป็นคนทรยศคนเสื้อแดง โดยประเด็นขอพูดที่นายจตุพรออกมากล่าวหาตนว่าตนไม่ใช่ลูกผู้ชาย ไปว่าผู้หญิงคนหนึ่งที่มีข่าวกับฟิล์ม จึงได้อธิบายไปแล้วว่าในเรื่องนี้ตนมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเพราะเคยคบหากับผู้หญิงคนนี้ และผู้หญิงคนนี้เคยอ้างว่าท้องกับตน ซึ่งคล้ายกันกับฟิล์ม และทราบมาว่าผู้หญิงคนนี้ก็ใช้วิธีการเดียวกันนี้กับคนอื่นๆ ตนไม่ได้ออกมาพูดว่าผู้หญิงคนนี้เลวชั่วยังไง แค่เอาความจริงมาเปิดเผยให้ประชาชนได้ตัดสินใจเอาเอง
“ที่บอกว่าผมไม่ใช่ลุกผู้ชาย เอาความลับมาไขในที่แจ้ง ผมไม่ได้บอกเลยว่าผมมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงคนนี้ในท่าไหน ผมแค่บอกว่าเคยคบกับผู้หญิงคนนี้ในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้นเอง ไม่เชื่อไปฟังเทป หรือคลิปที่ไหนก็ได้” นายเมธีกล่าว
นายเมธีกล่าวต่อว่า ที่กล่าวหาว่าทรยศต่อคนเสื้อแดง ขอถามกลับนายจตุพรว่า ตั้งแต่ตนโดนควบคุมตัว เคยได้ยินคำสัมภาษณ์เกี่ยวกับการเมืองบ้างไหม เคยได้ยินว่าจากปากว่าให้การอะไรกับดีเอสไอไหม กรณีนายหรั่งกับนายพล ผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายก็เช่นเดียวกัน มันเป็นเกมการเมือง ตนเป็นแค่คนธรรมดาจะไปทำอะไรได้ ไม่ได้เป็นแกนนำคนเสื้อแดงเลย ซึ่งนายณัฐวุติ ใสยเกื้อ เคยพูดไว้ว่าตนไม่ใช่แกนนำ เคยระบุว่าอยากจะมาก็มา ขนาดขึ้นเวทีวันที่ 11 -13 เมษายน ยังมีการตัดไฟบนเวทีไม่ให้ขึ้นปราศรัย ต้องขอขอบคุณกองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่เข้ามาช่วย อะไรที่เห็นว่าไม่ถูกต้องหรือไม่เห็นด้วยตนจึงไม่ไปร่วม เช่น การปิดแยกราชประสงค์ หรือไปเทเลือด ส่วนตัวนั้นมีจุดยืนของตนเอง พฤติกรรมของนายจตุพรที่บอกว่าจะให้ น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ลูกสาวของเสธ.แดงฟ้องตน ฟังแล้วขำ เพราะไปนอนบังกระสุนให้เสธ.แดงทุกคืน อยู่กับเสธ.แดงตลอด การ์ดเสื้อแดงรู้ดีว่าตนนิสัยยังไง กรณีที่ไทยคม และผ่านฟ้าฯ หรือที่อื่นๆ ซึ่งตนไปเป็นคนแรกๆ และอยู่ที่นั่นจนจบ
“เมื่อวันที่ 10 เมษาฯ ตอนกลางวันผมอยู่กับเสธ.แดง มีสุนัขตัวหนึ่งโทร.มาอ้อนวอน ขอร้องโหยหวนให้พี่แดงช่วย กลัวใช่ไหมว่าทหารเขาจะเอาจริง ความตายใกล้เข้ามาแล้วจตุพร ก่อนหน้านี้เคยด่าพี่แดง ด่าพัลลภ สาดเสียเทเสีย นี่ละเบื้องหลังแม่ทัพคนเสื้อแดง ด่าเขาเป็นหมูเป็นหมา เป็นของปลอมเป็นหมาเน่า นึกหรือว่าลูกสาวเขาไม่รู้ไม่เห็นหรือได้ยินอะไร ขอบอกว่า คนเสื้อแดงเขาไม่เอาแกนนำแล้ว เขารู้แล้วว่าแกนนำนั้นสู้แล้วรวย นายจตุพรมีแผลเยอะมากมาย ผมอยากเล่าสัก 2 เรื่อง อยากให้นายจตุพรกลับไปดูแลเมียหลวงให้ดี ไปทำอะไรไว้ที่ชายหาดที่ไม่ใช่เมียนายจตุพรเอง คนเสื้อแดงเป็นร้อยเป็นพันเขาเห็น และกรณีเงินบริจาคของคนเสื้อแดง เป็นเงินบริสุทธิ์ทั้งนั้น ผมไปเวที ไปร้องเพลง มีคนเอาเงินมาให้ ผมไม่เคยรับ ผมส่งไปให้ช่วยเวที แล้วมาโกงเงินแบบนี้ได้ไง อย่าบอกว่าไม่รู้ไม่เห็น เรื่องเงินบริจาคคนเสื้อแดง 68 ล้าน มีแกนนำ 3 คนที่รู้ดีที่สุด ส่วนจะโกงแบบไหนนั้นรายละเอียดผมไม่ขอพูด แต่คนเสื้อแดงไม่น้อย และคนที่รู้เรื่องภายในลึกๆ จะรู้ดีว่าเงินหายไปไหน ควรทำบัญชีให้โปร่งใสเช่นมีการตั้งกรรมการขึ้นมา ไม่ใช่ไปงุบงิบทำกันเอง ถ้าแน่จริงเอาหลักฐานบัญชีมาเปิดเผยให้คนเสื้อแดงได้รับรู้ว่าไม่ได้งุบงิบจริง แต่คงไม่ทันแล้วเพราะได้ข่าวว่าคนที่เกี่ยวข้องหนีไปมาเลเซียแล้ว”
ผู้สื่อข่าวถามว่า แกนนำคนเสื้อแดงโกงเงินบริจาคด้วยวิธีใด นายเมธีกล่าวว่า เรื่องรายละเอียดไม่ขอพูดถึง แต่มีคนหลายคนรู้เรื่องดี
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า คนที่งุบงิบเงินไปเป็นญาติของนายวีระ มุสิกพงศ์ ใช่หรือไม่ นายเมธีลุกขึ้นชี้นิ้วด้วยความโมโหก่อนกล่าวว่า ถูก พวกคุณก็รู้ดี เขากำลังตรวจสอบกันอยู่ว่าเงินมันหายไปไหน
นายเมธีกล่าวต่อว่า อยากให้นายจตุพรหุบปาก และจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด มาข่มขู่ว่าจะฆ่าอย่างโน้นอย่านี้ นึกหรือว่าจะกลัว จึงขอท้านายจตุพรเลยว่า ถ้ากล้าตามที่พูดจริงๆ มาตัวต่อตัวกับตนเลยหรือไม่ อย่ามาลอบกัด แล้วที่มาข่มขู่เพื่อนตนนั้น เพื่อนกลัวแต่ตนไม่กลัว ถ้าเมื่อไหร่นายจตุพรรู้สึกว่าเป็นผู้ชายมารับคำท้าตนได้เลย ตนจะตามไปจัดการทันที แต่อย่าหมาลอบกัด หรือถ้ากลัว ตนต่อให้สองคน ตนจะขยี้ให้เละ
“ขอให้คนเสื้อแดงแยกแยะ นี่มันไม่ใช่การแตกแยกของคนเสื้อแดง ผมแดงกว่าเยอะ การ์ด นปช.เขารู้นิสัยผมดี ผมนอนกับเสธ.แดงทุกคืน กันกระสุนให้ ทำจนสุดความสามารถแต่ได้เท่านี้ ผมจะเอาความลับอะไรไปเปิดเผย แกนนำก็ไม่ได้เป็น พรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้เข้า ไปก็ไม่ได้เข้าประชุม ส่วนบรรดาแม่ยกทั้งหลายตาสว่างได้แล้ว ไปหลงงมงาย อะไรก็ดีไปหมด ตอนนี้ไม่มีแกนนำแล้ว นายจตุพรอย่ามาสร้างราคาตัวเอง เขาไม่เอาคุณแล้ว ไปเกาะเวทีหากินอย่างนี้” นายเมธีกล่าว
ด้าน อธิบดีดีเอสไอกล่าวว่า นายเมธีเป็นผู้ต้องหาคดีความไม่สงบ และเป็นพยานในโครงการคุ้มครองพยานของดีเอสไอได้เข้ามาพบ โดยอ้างว่าถูกนายจตุพรมาข่มขู่ ตนจึงได้ซักถามว่า เชื่อได้อย่างไรว่าเป็นเสียงของนายจตุพร ซึ่งนายเมธีก็ยืนยันว่าเป็นเบอร์และเสียงของนายจตุพรแน่นอน จึงรู้สึกไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม ได้ให้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอบันทึกปากคำของการสนทนา เพื่อที่จะพิจารณาดำเนินการต่อไปในเรื่องมาตรการคุ้มครองให้มากขึ้นกว่าเดิม ส่วนเรื่องการขอถอนประกันนายจตุพรคงยังไม่ถึงขั้นนั้น และคงจะขอพิจารณาบทสนทนานั้นก่อน
นายธาริต ยืนยันว่า แม้นายเมธีจะอยู่ในการคุ้มครองพยาน ก็สามารถใช้โทรศัพท์ได้ตามปกติ ส่วนกรณีที่นายเมธี เปิดเผยว่า ญาติของแกนนำกลุ่ม นปช.โกงเงินบริจาค 68 ล้านบาท แล้วหนีไปอยู่ประเทศมาเลเซียนั้น ตนเองเห็นว่าเรื่องดังกล่าว เป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับดีเอสไอแต่อย่างใด
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 1293 ครั้ง