วันที่ 27 ต.ค สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้เผยแพร่เอกสารข่าว ระบุว่า ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่า ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ย.53 จนถึงปัจจุบัน มีผู้ให้ข่าวทางหนังสือพิมพ์ดูหมิ่น หมิ่นประมาท และข่มขู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงการเปิดเผยคลิปวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับการประชุมพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญมาเป็นลำดับ เช่น ในวันที่ 28 ก.ย.53 ได้มีบุคคลข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญ ว่า มีคลิปที่เกี่ยวข้องกับศาลรัฐธรรมนูญ และได้ให้ข่าวกับหนังสือพิมพ์ข่าวสด ว่า “ทราบว่า เวลานี้รังสีอำมหิตได้ส่งไปช่วยไม่ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์” หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน “พี่น้องประชาชนจะได้เห็นคลิปที่แสดงให้เห็นถึงความหายนะของกระบวนการศาลรัฐธรรมนูญและคนไทย จะต้องตกตะลึงกับคลิปดังกล่าว ก็คือ มีบุคคลคนหนึ่งไปรับงาน เพื่อไม่ให้มีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ แต่กลับมีการบันทึกภาพเอาไว้ได้” และในหนังสือพิมพ์มติชน “ค่อยดูกันความลับไม่มีในโลก เราเชื่อว่า หากไม่มีใบสั่งใดๆ พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบไปนานแล้ว และต่อมาได้มีการเผยแพร่คลิปภาพนิ่ง ของประธานองคมนตรีนั่งอยู่กับประธานศาลรัฐธรรมนูญ ในลักษณะที่ทำให้สาธารณชนหลงเข้าใจผิดไปว่า ได้มีใบสั่งไม่ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท และข่มขู่ศาลในการพิจารณา หรือพิพากษาคดีอันเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 139 และมาตรา 198
อีกทั้งในวันที่ 14 ต.ค. 53 ได้มีบุคคลไม่ทราบชื่อนำคลิปวิดีโอจำนวน 5 คลิป โพสต์ไว้บนเว็บไซต์ยูทูป ซึ่งในคลิปที่เปิดมีอยู่ 3 คลิป เป็นความลับการประชุมพิจารณาคดีของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อมีผู้นำคลิปไปเผยแพร่ในเว็บไซต์จึงเป็นการนำความลับในราชการ ไปเปิดเผยให้ผู้อื่นล่วงรู้ความลับ ซึ่งสอดคล้องกับที่มีบุคคลได้กล่าวข่มขู่ศาลไว้ดังกล่าวข้างต้น อันถือได้ว่าเป็นการร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 164 การกระทำของบุคคลที่ถ่ายคลิปในห้องประชุมของตุลาการดังกล่าวเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 มาตรา 164 และมาตรา 323 นอกจากนั้น ยังมีบุคคลอื่นร่วมกระทำความผิดโดยดูหมิ่นและหมิ่นประมาทศาล โดยการให้ข่าวกับหนังสือพิมพ์อีกหลายครั้งด้วยกัน ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติมอบหมายให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดดังกล่าวข้างต้น และที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ แจ้งให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเพิกถอนหนังสือเดินทางประเภทราชการ ของ นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เนื่องจากปัจจุบัน นายพสิษฐ์ ได้พ้นจากตำแหน่งเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญแล้ว
อย่างไรก็ตาม การประชุมคณะตุลาการครั้งนี้ ยังได้แสดงความเป็นห่วงต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและการดำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันศาลรัฐธรรมนูญ ที่เป็นกลไกสำคัญของประเทศในฝ่ายอำนาจของตุลาการ จึงได้กำหนดเป็นหลักการเกี่ยวกับหลักปฏิบัติในกรณีที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ โดยให้ยึดมั่นในหลักการของการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและความมั่นคง หนักแน่น ในการดำรงรักษาความยุติธรรม ตามภาระหน้าที่ทางตุลาการของสถาบันศาลรัฐธรรมนูญเป็นสำคัญ ไม่มีความประสงค์ที่จะดำเนินการใดๆ อันเป็นการมุ่งตอบโต้หรือเป็นคู่กรณีกับฝ่ายใด หากจำเป็นต้องดำเนินการในเรื่องใดก็จะคำนึงถึงกระบวนการขั้นตอนตามหลักกฎหมาย เป็นที่ตั้ง ดังนั้น เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามหลักการดังกล่าวและเพื่อให้สาธารณชนได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างถูกต้อง เป็นไปในทิศทางเดียวกัน หากมีความจำเป็นต้องแจ้งข่าวสารใดให้ทราบจะได้ทำการประชุมปรึกษาหารือร่วมกัน เมื่อมีมติเป็นอย่างใดก็จะแถลงหรือมอบหมายให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแจ้งให้ทราบเป็นครั้งๆ ตามลำดับต่อไป
ทั้งนี้ ในการประชุมคณะตุลาการครั้งนี้ มีรายงานว่า สำนักงานได้มีการประสานให้กรมสรรพาวุธทหารอากาศมาทำการตัดสัญญาณโทรศัพท์ภายในห้องประชุม และบริเวณโดยรอบสำนักงาน ทำให้ระหว่างการประชุม เจ้าหน้าที่หรือสื่อมวลชนจะไม่สามารถใช้โทรศัพท์มือถือได้เป็นระยะ
นอกจากนี้ ภายหลังจากที่เกิดเหตุกรณีคลิปฉาวและศาลรัฐธรรมนูญ มีการสั่งปลดนายพสิษฐ์ แล้ว ปรากฏว่า มีเอกสารถูกส่งไปยังสำนักงานพิมพ์ของสื่อมวลชนต่างๆ อ้างว่า เป็นเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ โดยเนื้อหาระบุว่า รู้สึกดีใจและมีความสุขมากกับการที่นายพสิษฐ์ ถูกสั่งปลดแสดงให้เห็นว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง เนื่องจากตลอดเวลาที่นายพสิษฐ์อยู่สำนักงานเหมือนตกอยู่ในยุคมืด เหมือนช่วงลัทธิเผด็จการ เพราะนายพสิษฐ์ จะอ้างว่า ประธานและตุลาการทุกคนมอบหมายให้ควบคุมสำนักงาน และแสดงออกถึงความบ้าอำนาจ โดยการข่มขู่ เรียกข้าราชการไปตำหนิ หากใครแข็งข้อก็จะถูกตั้งกรรมการสอบในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทำให้เจ้าหน้าที่มีความหวาดระแวง โดยทุกที่จะมีสายสืบคอยรายงานความเคลื่อนไหว
เอกสารดังกล่าวระบุอีกว่า ในสำนักงานมีการโยกย้ายรายวัน บางคนย้าย 5 ครั้งใน 4 เดือน ย้ายคนระดับต่ำให้ปกครองคนระดับสูง ย้ายคนจบกฎหมาย ที่มีความสามารถในกฎหมายรัฐธรรมนูญมาคุมห้องสมุด และยังเอาคนที่มีจุดอ่อนมาใช้ประโยชน์ โดยสั่งการให้ทำทุกอย่าง ผู้ที่ยอมนายพสิษฐ์ แม้ทำตัวฉาวโฉ่ก็จะสอบผ่าน โดยในการด้านการบริหารงานแม้นายพสิษฐ์จะไม่ได้บริหารเอง แต่ก็จะอาศัยผ่านทางนายเชาวนะ เลขาธิการ นายปัญญา นางพรทิภา รองเลขาธิการ และ นายสนิท ที่ปรึกษา ซึ่งกลุ่มบุคคลดังกล่าวนายพสิษฐ์เป็นผู้สนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งจึงเป็นบุญคุณของ นายพสิษฐ์ ไม่ว่าจะสั่งให้ทำอะไรพวกนี้ก็จะดำเนินการให้ อาทิ การทุจริตในการสอบเข้าเจ้าหน้าที่ศาล เป็นเรื่องจริง และการจัดซื้อจัดจ้างวัสดุครุภัณฑ์ของสำนักงาน โดยเฉพาะการซื้อคอมพิวเตอร์จากร้านพรรคพวกนายพสิษฐ์ จำนวน 13 ล้านบาท โดยซื้อราคาแพงกว่าท้องตลาด เครื่องละหมื่นกว่าบาท การจ้างทำระบบไอทีในศาล 66 ล้านบาท รวมถึงการติดตั้งระบบ 15 ล้านบาท การจัดหารถเช่าประจำตำแหน่ง นายพสิษฐ์จะเอาคนของตนเท่านั้นเป็นกรรมการพิจารณาผล แต่การตรวจรับในรายการต่างๆ จะให้ผู้อื่นทำ ส่งผลให้ประธานกรรมการตรวจสอบจะขอลาออกหมดเพราะเห็นว่าไม่โปร่งใสมาแต่ต้น แต่นายเชาวนะซึ่งเป็นร่างทรงของ นายพสิษฐ์ ใช้อำนาจความเป็นเลขาธิการสั่งให้ดำเนินการต่อไป พวกเราเจ้าหน้าที่ ขอยืนยันว่า ทุกรายการมีการคอร์รัปชันทั้งนั้น
รวมทั้ง นายพสิษฐ์ ยังสั่งให้รับลูกจ้างชั่วคราวเป็นหญิงสาวจำนวน 6 คน โดยมีการบันทึกข้อมูล ความสูง น้ำหนัก สัดส่วน และมีการถ่ายภาพด้านต่างๆ ซึ่งเมื่อรับเข้ามาก็ไม่มีงานอะไรให้ทำ เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดถือเป็นความตกต่ำของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นความต่ำทรามของผู้บริหารที่ไม่คำนึงถึงหลักธรรมาภิบาล ยอมทำทุกอย่างขอให้ตนเองอยู่รอด และผู้บริหารที่รับใช้นายพสิษฐ์ ก็จะพยายามกีดกันไม่ให้คนอื่นได้พบตุลาการ ผลงานคดีที่เจ้าหน้าที่ทำก็จะถูกเสนอหน้า โดย นางพรทิภา ซึ่งตุลาการก็ไม่ทราบว่าเบื้องหลังใครเป็นคนทำ และคำวินิจฉัยในช่วงที่นางพรทิภาดูแลก็มีความผิดพลาด แต่ นางพรทิภา ก็จะปิดเรื่องนี้ไม่รายงานให้ตุลาการรับทราบ เจ้าหน้าที่ในศาลเชื่อว่า คลิปฉาวเรื่องทุจริตสอบจริง เชื่อว่ามีคลิปฉาวเรื่องเพศจริงเพราะโยงกับการถ่ายรูปลูกจ้างชุด 6 คน และมีคลิปฉาวเรื่องทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างวงเงินเกือบ 100 ล้านบาทจริง ซึ่งขณะนี้มีเจ้าหน้าที่บางคนได้ทำการบันทึกสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นและกำลังจัดทำเป็นเล่มเพื่อเผยแพร่ท้องตลาด
ด้าน นายสนิท จรอนันต์ ที่ปรึกษาสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบคลิป กล่าวภายหลังการประชุมกว่า 4 ชั่วโมงว่า จากนี้ไปคณะกรรมการฯจะมีการประชุมให้ถี่ขึ้น เพื่อที่จะลงลึกในรายละเอียดตามกรอบอำนาจที่วางไว้ ซึ่งคงไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดให้สื่อทราบได้ เพราะจะเสียรูปคดี เพื่อให้การพิจารณาและสรุปการสอบสวนแล้วเสร็จภายใน 15 วันตามที่กรอบที่กำหนดไว้ และคิดว่า จะไม่มีการขยายเวลาสอบสวนอีก “คณะกรรมการจะเร่งสอบข้อเท็จจริงให้เสร็จโดยเร็วและในวันพรุ่งนี้ก็จะประชุมอีกครั้ง และจะติดตามว่ากรรมการแต่ละคนมีความพร้อมที่จะประชุมอีกเมื่อใด เพื่อนัดประชุมในทันที ส่วนที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ยื่นหนังสือขอให้คณะกรรมการสอบเรื่องเนื้อหาคลิปว่ามีการล็อบบี้วิ่งเต้นนั้น ยืนยันว่าคงไม่สามารถทำได้ เพราะเป็นเรื่องที่หน่วยงานอื่นทำอยู่แล้วและดำเนินการเอาผิดได้ คณะกรรมการจะดูเพียงข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการประชุมคณะตุลาการ ว่า มีวิธีการที่ทำให้เล็ดลอดออกไปภายนอกด้วยวิธีใด สำหรับที่มีการกล่าวหาว่า คณะกรรมการสอบสวนนั้นมี 4 คนที่พัวพันการทุจริตจัดซื้อรถประจำตำแหน่งนั้น ยืนยันว่ากรรมการ 4 คนที่ถูกระบุนั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาจัดซื้อรถดังกล่าว แต่ทำหน้าที่ด้วยความสุจริต รวมทั้งการกล่าวหาเรื่องนี้ก็ไม่กระทบต่อการทำหน้าที่ในคณะกรรมการสอบสวน
อีกทั้งในวันที่ 14 ต.ค. 53 ได้มีบุคคลไม่ทราบชื่อนำคลิปวิดีโอจำนวน 5 คลิป โพสต์ไว้บนเว็บไซต์ยูทูป ซึ่งในคลิปที่เปิดมีอยู่ 3 คลิป เป็นความลับการประชุมพิจารณาคดีของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อมีผู้นำคลิปไปเผยแพร่ในเว็บไซต์จึงเป็นการนำความลับในราชการ ไปเปิดเผยให้ผู้อื่นล่วงรู้ความลับ ซึ่งสอดคล้องกับที่มีบุคคลได้กล่าวข่มขู่ศาลไว้ดังกล่าวข้างต้น อันถือได้ว่าเป็นการร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 164 การกระทำของบุคคลที่ถ่ายคลิปในห้องประชุมของตุลาการดังกล่าวเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 มาตรา 164 และมาตรา 323 นอกจากนั้น ยังมีบุคคลอื่นร่วมกระทำความผิดโดยดูหมิ่นและหมิ่นประมาทศาล โดยการให้ข่าวกับหนังสือพิมพ์อีกหลายครั้งด้วยกัน ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติมอบหมายให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดดังกล่าวข้างต้น และที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ แจ้งให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเพิกถอนหนังสือเดินทางประเภทราชการ ของ นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เนื่องจากปัจจุบัน นายพสิษฐ์ ได้พ้นจากตำแหน่งเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญแล้ว
อย่างไรก็ตาม การประชุมคณะตุลาการครั้งนี้ ยังได้แสดงความเป็นห่วงต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและการดำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันศาลรัฐธรรมนูญ ที่เป็นกลไกสำคัญของประเทศในฝ่ายอำนาจของตุลาการ จึงได้กำหนดเป็นหลักการเกี่ยวกับหลักปฏิบัติในกรณีที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ โดยให้ยึดมั่นในหลักการของการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและความมั่นคง หนักแน่น ในการดำรงรักษาความยุติธรรม ตามภาระหน้าที่ทางตุลาการของสถาบันศาลรัฐธรรมนูญเป็นสำคัญ ไม่มีความประสงค์ที่จะดำเนินการใดๆ อันเป็นการมุ่งตอบโต้หรือเป็นคู่กรณีกับฝ่ายใด หากจำเป็นต้องดำเนินการในเรื่องใดก็จะคำนึงถึงกระบวนการขั้นตอนตามหลักกฎหมาย เป็นที่ตั้ง ดังนั้น เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามหลักการดังกล่าวและเพื่อให้สาธารณชนได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างถูกต้อง เป็นไปในทิศทางเดียวกัน หากมีความจำเป็นต้องแจ้งข่าวสารใดให้ทราบจะได้ทำการประชุมปรึกษาหารือร่วมกัน เมื่อมีมติเป็นอย่างใดก็จะแถลงหรือมอบหมายให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแจ้งให้ทราบเป็นครั้งๆ ตามลำดับต่อไป
ทั้งนี้ ในการประชุมคณะตุลาการครั้งนี้ มีรายงานว่า สำนักงานได้มีการประสานให้กรมสรรพาวุธทหารอากาศมาทำการตัดสัญญาณโทรศัพท์ภายในห้องประชุม และบริเวณโดยรอบสำนักงาน ทำให้ระหว่างการประชุม เจ้าหน้าที่หรือสื่อมวลชนจะไม่สามารถใช้โทรศัพท์มือถือได้เป็นระยะ
นอกจากนี้ ภายหลังจากที่เกิดเหตุกรณีคลิปฉาวและศาลรัฐธรรมนูญ มีการสั่งปลดนายพสิษฐ์ แล้ว ปรากฏว่า มีเอกสารถูกส่งไปยังสำนักงานพิมพ์ของสื่อมวลชนต่างๆ อ้างว่า เป็นเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ โดยเนื้อหาระบุว่า รู้สึกดีใจและมีความสุขมากกับการที่นายพสิษฐ์ ถูกสั่งปลดแสดงให้เห็นว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง เนื่องจากตลอดเวลาที่นายพสิษฐ์อยู่สำนักงานเหมือนตกอยู่ในยุคมืด เหมือนช่วงลัทธิเผด็จการ เพราะนายพสิษฐ์ จะอ้างว่า ประธานและตุลาการทุกคนมอบหมายให้ควบคุมสำนักงาน และแสดงออกถึงความบ้าอำนาจ โดยการข่มขู่ เรียกข้าราชการไปตำหนิ หากใครแข็งข้อก็จะถูกตั้งกรรมการสอบในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทำให้เจ้าหน้าที่มีความหวาดระแวง โดยทุกที่จะมีสายสืบคอยรายงานความเคลื่อนไหว
เอกสารดังกล่าวระบุอีกว่า ในสำนักงานมีการโยกย้ายรายวัน บางคนย้าย 5 ครั้งใน 4 เดือน ย้ายคนระดับต่ำให้ปกครองคนระดับสูง ย้ายคนจบกฎหมาย ที่มีความสามารถในกฎหมายรัฐธรรมนูญมาคุมห้องสมุด และยังเอาคนที่มีจุดอ่อนมาใช้ประโยชน์ โดยสั่งการให้ทำทุกอย่าง ผู้ที่ยอมนายพสิษฐ์ แม้ทำตัวฉาวโฉ่ก็จะสอบผ่าน โดยในการด้านการบริหารงานแม้นายพสิษฐ์จะไม่ได้บริหารเอง แต่ก็จะอาศัยผ่านทางนายเชาวนะ เลขาธิการ นายปัญญา นางพรทิภา รองเลขาธิการ และ นายสนิท ที่ปรึกษา ซึ่งกลุ่มบุคคลดังกล่าวนายพสิษฐ์เป็นผู้สนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งจึงเป็นบุญคุณของ นายพสิษฐ์ ไม่ว่าจะสั่งให้ทำอะไรพวกนี้ก็จะดำเนินการให้ อาทิ การทุจริตในการสอบเข้าเจ้าหน้าที่ศาล เป็นเรื่องจริง และการจัดซื้อจัดจ้างวัสดุครุภัณฑ์ของสำนักงาน โดยเฉพาะการซื้อคอมพิวเตอร์จากร้านพรรคพวกนายพสิษฐ์ จำนวน 13 ล้านบาท โดยซื้อราคาแพงกว่าท้องตลาด เครื่องละหมื่นกว่าบาท การจ้างทำระบบไอทีในศาล 66 ล้านบาท รวมถึงการติดตั้งระบบ 15 ล้านบาท การจัดหารถเช่าประจำตำแหน่ง นายพสิษฐ์จะเอาคนของตนเท่านั้นเป็นกรรมการพิจารณาผล แต่การตรวจรับในรายการต่างๆ จะให้ผู้อื่นทำ ส่งผลให้ประธานกรรมการตรวจสอบจะขอลาออกหมดเพราะเห็นว่าไม่โปร่งใสมาแต่ต้น แต่นายเชาวนะซึ่งเป็นร่างทรงของ นายพสิษฐ์ ใช้อำนาจความเป็นเลขาธิการสั่งให้ดำเนินการต่อไป พวกเราเจ้าหน้าที่ ขอยืนยันว่า ทุกรายการมีการคอร์รัปชันทั้งนั้น
รวมทั้ง นายพสิษฐ์ ยังสั่งให้รับลูกจ้างชั่วคราวเป็นหญิงสาวจำนวน 6 คน โดยมีการบันทึกข้อมูล ความสูง น้ำหนัก สัดส่วน และมีการถ่ายภาพด้านต่างๆ ซึ่งเมื่อรับเข้ามาก็ไม่มีงานอะไรให้ทำ เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดถือเป็นความตกต่ำของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นความต่ำทรามของผู้บริหารที่ไม่คำนึงถึงหลักธรรมาภิบาล ยอมทำทุกอย่างขอให้ตนเองอยู่รอด และผู้บริหารที่รับใช้นายพสิษฐ์ ก็จะพยายามกีดกันไม่ให้คนอื่นได้พบตุลาการ ผลงานคดีที่เจ้าหน้าที่ทำก็จะถูกเสนอหน้า โดย นางพรทิภา ซึ่งตุลาการก็ไม่ทราบว่าเบื้องหลังใครเป็นคนทำ และคำวินิจฉัยในช่วงที่นางพรทิภาดูแลก็มีความผิดพลาด แต่ นางพรทิภา ก็จะปิดเรื่องนี้ไม่รายงานให้ตุลาการรับทราบ เจ้าหน้าที่ในศาลเชื่อว่า คลิปฉาวเรื่องทุจริตสอบจริง เชื่อว่ามีคลิปฉาวเรื่องเพศจริงเพราะโยงกับการถ่ายรูปลูกจ้างชุด 6 คน และมีคลิปฉาวเรื่องทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างวงเงินเกือบ 100 ล้านบาทจริง ซึ่งขณะนี้มีเจ้าหน้าที่บางคนได้ทำการบันทึกสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นและกำลังจัดทำเป็นเล่มเพื่อเผยแพร่ท้องตลาด
ด้าน นายสนิท จรอนันต์ ที่ปรึกษาสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบคลิป กล่าวภายหลังการประชุมกว่า 4 ชั่วโมงว่า จากนี้ไปคณะกรรมการฯจะมีการประชุมให้ถี่ขึ้น เพื่อที่จะลงลึกในรายละเอียดตามกรอบอำนาจที่วางไว้ ซึ่งคงไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดให้สื่อทราบได้ เพราะจะเสียรูปคดี เพื่อให้การพิจารณาและสรุปการสอบสวนแล้วเสร็จภายใน 15 วันตามที่กรอบที่กำหนดไว้ และคิดว่า จะไม่มีการขยายเวลาสอบสวนอีก “คณะกรรมการจะเร่งสอบข้อเท็จจริงให้เสร็จโดยเร็วและในวันพรุ่งนี้ก็จะประชุมอีกครั้ง และจะติดตามว่ากรรมการแต่ละคนมีความพร้อมที่จะประชุมอีกเมื่อใด เพื่อนัดประชุมในทันที ส่วนที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ยื่นหนังสือขอให้คณะกรรมการสอบเรื่องเนื้อหาคลิปว่ามีการล็อบบี้วิ่งเต้นนั้น ยืนยันว่าคงไม่สามารถทำได้ เพราะเป็นเรื่องที่หน่วยงานอื่นทำอยู่แล้วและดำเนินการเอาผิดได้ คณะกรรมการจะดูเพียงข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการประชุมคณะตุลาการ ว่า มีวิธีการที่ทำให้เล็ดลอดออกไปภายนอกด้วยวิธีใด สำหรับที่มีการกล่าวหาว่า คณะกรรมการสอบสวนนั้นมี 4 คนที่พัวพันการทุจริตจัดซื้อรถประจำตำแหน่งนั้น ยืนยันว่ากรรมการ 4 คนที่ถูกระบุนั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาจัดซื้อรถดังกล่าว แต่ทำหน้าที่ด้วยความสุจริต รวมทั้งการกล่าวหาเรื่องนี้ก็ไม่กระทบต่อการทำหน้าที่ในคณะกรรมการสอบสวน
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 947 ครั้ง