จัดกองกำลังตำรวจคุมเข้มนายกรัฐมนตรีร่วมประชุมหอการทั่วประเทศขอนแก่น กลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมย่อย 200-300 คน
พล.ต.ต.ศักดา เตชะเกรียงไกร รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 เปิดเผยว่า ได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจอารักขาการเดินทางมาขอนแก่นของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อเข้าร่วมงานสัมมนาใหญ่ทั่วประเทศของสภาหอการแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 28 จำนวน 10 กองร้อย หรือ 1,500 นาย ประกอบทั้งตำรวจในและนอกเครื่องแบบ พร้อมชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดและวัตถุอันตราย โดยวางแนวอารักขาเป็น 3 ชั้น ชั้นนอกตั้งด่านระหว่างจังหวัดที่มีพื้นที่ติดกับขอนแก่น เพื่อตรวจข้นอาวุธและประชาชนที่จะเดินทางเข้าร่วมชุมนุม ชั้นกลางตั้งที่อำเภอเมืองเพื่อตรวจค้นอาวุธ พร้อมเก็บสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ที่เข้าร่วมชุมนุม และด่านชั้นในได้ปิดถนน และบล็อกพื้นที่ชั้นในรอบโรงแรมพูลแมน ขอนแก่น ราชาออคิด ห้ามให้บุคคลภายนอกที่ไม่มีภารกิจเข้ามาร่วมในงานสัมมนา
สำหรับบรรยากาศดูแลพื้นที่ชั้นในยังเต็มไปด้วยความสงบเรียบร้อยดี มีกลุ่มคนเสื้อแดงปักหลังชุมนุมกลุ่มเล็กประมาณ 200-300 คน รอบนอก 2 จุด บริเวณหน้าประตูเมือง และหลังสถานีรถไฟ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และได้เจรจาให้การชุมนุมอยู่ในความสงบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การอารักขาของนายกฯ ได้มีวางกำลังคุ้มกันเข้ม โดย พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) เดินทางลงพื้นที่บัญชาการการอารักขาด้วยตัวเอง ขณะเดียวกันเจ้าภาพจัดงาน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยได้จัดวางเครื่องสแกนวัตถุระเบิดทางเข้างานสัมมนา พร้อมทั้งให้สื่อมวลชน และผู้เข้าร่วมทุกคนทำบัตรแสดงตัวทุกคน
นายดุสิต นนทะนาคร ประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า จะนำข้อสรุปที่ได้จากผลจากการประชุมเชิงปฏิบัติการ แบ่งเป็น 3 หัวข้อสำคัญ ได้แก่ การมุ่งขจัดคอร์รัปชันเพื่อการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน การลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจ และแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11 กุญแจสำคัญของการเปลี่ยนแปลง จัดทำเป็นสมุดปกขาวเสนอนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่จะเดินทางมาปิดการสัมมนาการประชุมหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 28 และปาฐกถาพิเศษเรื่อง “บทบาทภาคเอกชนในการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมไทย” เพื่อให้รัฐบาลนำไปเป็นแนวทางใช้ต่อไป
ดุสิต
สำหรับข้อสรุปจากประชุมปฏิบัติการทั้ง 3 กลุ่ม ประเด็นการขจัดคอร์รัปชันเพื่อพัฒนาประเทศยั่งยืน ผู้เข้าประชุมจะเซ็นชื่อกว่า 2,000 ชื่อเพื่อยื่นการต้านทุจริตคอร์รัปชันให้นายกฯ ในวันที่ 28 พ.ย. พร้อมเสนอให้รวมหน่วยงานอิสระที่เกี่ยวกับการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งไทยมี 9 หน่วยงานเป็นหน่วยงานเดียวเพื่อมีอำนาจเต็มที่ จะให้มีความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน องค์การอิสระและภาคประชาชน ป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ควรมีความร่วมมือ (ภาคี) ระหว่างประเทศ ปลุกจิตสำนึก ปรับปรุงขั้นตอนการทำงานของรัฐให้ชัดเจน รวดเร็ว ลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่
ประเด็นลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ เสนอให้มี เช่น พัฒนาระบบชลประทานขนาดเล็กสำหรับการเพาะปลูก การประกันราคาพืชผลเพิ่มความแน่นอนทางรายได้ จัดหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เชื่อมโยงงานวิจัยระหว่างภาครัฐและเอกชนไปสู่ภาคปฏิบัติ
สุดท้ายประเด็นแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11 กุญแจสำคัญของการเปลี่ยนแปลง มีการนำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จัดทำกรอบและผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว เช่น การสร้างความเป็นธรรมในสังคม การพัฒนาคนสู่สังคมการเรียนรู้ การสร้างความสมดุลและความมั่นคงของอาหารและพลังงาน โดยเอกชนเห็นว่ากรอบดังกล่าวมีความสมบูรณ์ แต่เป็นห่วงในเรื่องการนำกรอบลงมาใช้ในระดับปฏิบัติการ เช่น กระทรวง ไม่ได้รับไปดำเนินการตามซึ่งไม่เกิดประโยชน์ต่อประเทศ ดังนั้นควรมีการผลักดันให้ภาคปฏิบัติมีการนำกรอบไปใช้ได้จริง
นายดุสิต กล่าวในการสัมมนาหัวข้อก้าวไปข้างหน้าอย่างผู้นำว่าภาคเอกชนพร้อมมีบทบาทเป็นผู้นำพัฒนาประเทศ แต่ห่วงการเมืองไม่อยากให้เกิดความรุนแรง ถ้าไม่เสี่ยง เรื่องนี้ปีหน้าเศรษฐกิจจะโตได้ 4-5%
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์ว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ GDP ปี 2553 น่าจะเติบโตได้ประมาณร้อยละ 8 ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประมาณการล่าสุด ที่ร้อยละ 7.9 แม้ปีนี้ จะมีปัจจัยน่าเป็นห่วงคือ ปัญหาน้ำท่วมและปัญหาเศรษฐกิจโลก แต่รัฐบาลวางมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการแก้ปัญหาน้ำท่วม ซึ่งจะช่วยประคองให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเพิ่มกำลังซื้อ โดยการเร่งพิจารณาค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งคาดว่าจะสามารถปรับได้ 10 บาท เพื่อรักษากำลังซื้อประชาชน ส่วนการลดค่าครองชีพ อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างราคาอาหาร และพลังงานโดยในส่วนพลังงานนั้น ได้เริ่มเห็นตัวเลขเพื่อกำหนดราคา LPG และ NGV แล้ว ซึ่งต้องตัดสินใจในเร็วๆ นี้ เพราะการตรึงราคาก๊าซหุงต้ม ใกล้จะสิ้นสุดลงในช่วงสิ้นปี และสิ้นเดือน ก.พ. ปี 2554
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 935 ครั้ง