มีรายงานข่าวด้วยว่า ทหารไทยประมาณ 300 นาย สังกัดกองกำลังสุรนารี จ.สุรินทร์ จ.ร้อยเอ็ด และ จ.ยโสธร ได้เคลื่อนกำลังพล มาที่บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ โดยใช้ช่วงเวลากลางคืน เพื่อพรางตัว และไปประจำยังฐานปฏิบัติการตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชา ซึ่งทหารไทยที่เคลื่อนกำลังพลมาในครั้งนี้ เป็นทหารไทยที่มีความชำนาญในเขตชายแดนไทย – กัมพูชา บริเวณเขาพระวิหาร เป็นอย่างมาก
ก่อนหน้านี้ ชาวเขมรในฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา ต่างจับจ้องดูทีวีช่อง 5 ของกัมพูชา ซึ่งได้เสนอข่าวการเคลื่อนกำลังทหารพร้อมขบวนรถถังและรถเกราะ โดยนำภาพกองทัพรถถังและรถเกราะล้อยาง เคลื่อนกำลังออกจากฐานทัพ จ.กัมปงชะนัง ของกัมพูชา แล้ววิ่งผ่านเมืองต่างๆมุ่งหน้าสู่ชายแดน จ.พระวิหาร โดยผู้รายงานข่าวบรรยายว่าขณะที่กองทัพกัมพูชานำขบวนรถถังและรถเกราะวิ่งผ่านเมืองต่างๆได้มีประชาชนชาวเขมรออกมายืนโบกมือและส่งเสียงไชโยโห่ร้อง เป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ทหารกัมพูชา และสร้างความฮึกเหิมให้กับชาวกัมพูชาเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้สื่อกัมพูชายังรายงานอีกว่าทหารกัมพูชาทุกคนจะปกป้องแผ่นดินกัมพูชาไม่ให้ทหารไทยเข้ามาบุกรุกหรือรุกรานอย่างเด็ดขาด
การเสนอข่าวทางทีวีกัมพูชา ดังกล่าวได้สร้างความวิตกกังวลแก่ชาวเขมรในปอยเปต เป็นอย่างมาก เนื่องจากส่วนใหญ่ชาวเขมรในปอยเปต จะเป็นพ่อค้า แม่ค้า ที่เข้ามาค้าขายในตลาดโรงเกลือ ฝั่งไทย ซึ่งหากเกิดสงครามสู้รบกันด่านชายแดนจะต้องถูกสั่งปิด ทำให้ชาวเขมรเกิดความกลัวเป็นอย่างมาก
รายงานข่าวระบุว่า ตลอดคืนวันที่ 30 ม.ค.ที่ผ่านมา ทหารไทยประมาณ 300 นาย สังกัดกองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 จาก จ.สุรินทร์ จ.ร้อยเอ็ด และ จ.ยโสธร ได้เคลื่อนกำลังพลมาที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร โดยใช้ห้วงเวลากลางคืนเพื่อพรางตัว และเข้าไปประจำยังฐานปฏิบัติการตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งทหารไทยที่เคลื่อนกำลังพลมาในครั้งนี้เป็นทหารที่มาความชำนาญในเขตพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณเขาพระวิหารเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับการโจมตีจากฝ่ายกัมพูชาที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
ต่อมา เมื่อเวลา 11.45 น.ของวันที่ 31 ม.ค.ที่บริเวณใกล้กับสถูปคู่ติดกับฐานตรวจการณ์ผามออีแดง ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ทหารพรานสังกัด หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ได้นำเอาธงชาติไทยชักขึ้นสู่ยอดเสาตรงบริเวณใกล้กับจุดสถูปคู่ เขาพระวิหาร เพื่อเป็นการตอบโต้ทางการกัมพูชากรณีนำธงชาติมาติดตั้งบริเวณประตูทางเข้าวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ด้านทิศตะวันตกของปราสาทพระวิหาร ท่ามกลางบรรยากาศความตึงเครียดของทหารไทยและกัมพูชาที่ตรึงกำลังอยู่รอบเขาพระวิหาร
แหล่งข่าวทางทหารเปิดเผยว่า ขณะนี้ธงชาติของกัมพูชาที่ติดไว้บริเวณทางเข้าวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระก็ยังไม่ได้ถูกปลดลงมาแต่อย่างใด ซึ่งทหารกัมพูชาได้มีการเสริมกำลังบริเวณบนเขาพระวิหาร เพื่อเตรียมพร้อมรับการโจมตีอย่างเต็มที่ ทำให้บรรยากาศบริเวณเขาพระวิหารตรึงเครียดเป็นอย่างมาก
ส่วนบรรยากาศบริเวณด่านพรมแดนอรัญประเทศ จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ยังคงตกอยู่ในสภาพเงียบเหงา คนไทยและคนกัมพูชา ต่างยังวิตกกังวลและกลัวว่าไทย-กัมพูชา จะเปิดสงครามกัน ทำให้บรรยากาศช่วงใกล้เทศกาลตรุษจีนที่ควรจะคึกคักกลับเงียบเหงา นักท่องเที่ยวชาวไทยยังไม่กล้าเดินทางไปท่องเที่ยวนครวัด นครทม ของกัมพูชา ส่วนพ่อค้า แม่ค้าชาวกัมพูชาก็ไม่กล้าสั่งสินค้าเข้ามาขายในตลาดโรงเกลือ ทำให้การค้าขายในตลาดโรงเกลือ ไม่คึกคักตามไปด้วย
อีกด้านหนึ่ง เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ ได้เผยแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศต่อกรณีธงชาติกัมพูชาที่ปรากฏอยู่เหนือวัดแก้วสิกขาคีรีศวร โดยระบุว่า ตามที่กระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งราชอาณาจักรกัมพูชามีคำประกาศ ลงวันที่ 28 มกราคม 2554 เกี่ยวกับธงกัมพูชาที่ปรากฏอยู่เหนือ “วัดแก้วสิกขาคีรีศวร” นั้น กระทรวงการต่างประเทศขอแถลง ดังนี้
1.ตามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกปี 2543 อนุสัญญาและสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ปี ค.ศ.1904 และ ค.ศ.1907 และเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้สัญญาทั้งสองฉบับ ถือเป็นเอกสารทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการกำหนดเขตแดน ดังนั้น ประเทศไทยจึงไม่ยอมรับข้ออ้างของกัมพูชาว่าแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เป็นเอกสารที่จะกำหนดเขตแดน
2.กัมพูชาได้ยอมรับในคำประกาศฉบับดังกล่าวว่า คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เมื่อปี 2505 (ค.ศ.1962) มิได้ตัดสินในเรื่องเส้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา
3.ประเทศไทยยืนยันว่า “วัดแก้วสิกขาคีรีศวร” ตั้งอยู่ในอาณาเขตไทย และเรียกร้องให้ประเทศกัมพูชารื้อถอนวัดแก้วฯ และปลดธงกัมพูชาที่ประดับเหนือวัดแก้วฯ ข้อเรียกร้องนี้เป็นการย้ำถึงการประท้วงหลายครั้งของไทยต่อกัมพูชาเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ ในวัดแก้วฯ และบริเวณโดยรอบ ซึ่งล้วนเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักรไทย
4.กระทรวงการต่างประเทศยืนยันอีกครั้งถึงความมุ่งมั่นของไทยที่จะแก้ไขปัญหาเขตแดนกับกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศโดยสันติวิธี ภายใต้กรอบของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา การกำหนดเส้นเขตแดนบริเวณปราสาทพระวิหารยังคงเป็นเรื่องที่อยู่ระหว่างการเจรจาภายใต้กรอบของคณะกรรมาธิการ
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 2773 ครั้ง