วันที่ 11 กุมภาพันธ์ เวลา 08.30 น.สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จัดประชุมทางไกล หรือ VDO Conference โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้รับฟังปัญหาของส่วนราชการในพื้นที่ ตลอดจนความเดือดร้อนของประชาชนในจังหวัดศรีสะเกษ และสุรินทร์ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุปะทะไทย-กัมพูา โดยมีตัวแทนชาวบ้าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ได้ร้องขอจากนายกรัฐมนตรี 4 ข้อ คือ 1.รีบเจรจากับกัมพูชา เพื่อให้สถานการณ์สงบโดยเร็วที่สุด 2.ขอให้รัฐบาลมาดูแลในเรื่องหลุมหลบภัย 3.ขอให้รัฐบาลดูแลเรื่องการคมนาคม เนื่องจากถนนไม่ดี ทำให้การอพยพชาวบ้านทำได้ช้า 4.ขอให้นายกรัฐมนตรีจับมือกับกัมพูชา เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า เนื่องจากตนเองเคยเจอสงครามกัมพูชามานับสิบปี และไม่คิดว่าจะต้องมาเจอแบบนี้อีก
ในขณะที่ นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามชาวบ้าน โดยยืนยันว่า ในส่วนของการเจรจากับทางกัมพูชา รัฐบาลได้ปฎิบัติมาตลอด และเรารู้ว่าเรากับเพื่อนบ้านจะต้องอยู่ร่วมกันไป เราจะทำทุกวิถีทางเพื่อจับมือกันไปได้ นายกรัฐมนตรียังได้ขอเป็นกำลังใจให้กับประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่รวมถึงอาสาที่รักษาความปลอดภัย พร้อมรับปากจะเร่งแก้ไขสถานการณ์ให้เข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด
สำหรับเรื่องความสับสนด้านการข่าวสาร ขอให้คนในพื้นที่ฟังข่าวสารจากเจ้าหน้าที่ และทางราชการ และให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นจะทำให้กิดความสัยสนวุ่นวายมากขึ้น “ส่วนโทรทัศน์จะชี้แจงผ่านช่อง 5 และช่อง NBT ขอให้ประชาชนได้ฟังข่าวสารจากช่องทางเหล่านี้” นายกฯกล่าว พร้อมย้ำว่า ประชาชนคนไทยทุกคน ห่งใยประชาชนและเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุกคน
อีกด้านหนึ่ง สื่อต่างชาติรายงานข่าว บรรยากาศผู้อพยพคนไทยในศูนย์อพยพทยอยเดินทางกลับบ้าน หลังเสียงปืนใกล้พื้นที่พิพาทไทย-กัมพูชาสงบลง ขณะที่กองกำลังของไทยและกัมพูชา ยังคงอยู่ในสถานการณ์เตรียมพร้อม โดยสถานีโทรทัศน์ NTD (New Tang Dinasty) ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์อิสระ และไม่แสวงผลกำไร มีสำนักงานอยู่ที่นครนิวยอร์ค รายงานว่า เมื่อวันพฤหัสบดี ประชาชนในฝั่งไทยที่อพยพหนีภัยจากการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา ได้เดินทางกลับบ้าน ที่อยู่ใกล้กับพื้นที่พิพาทบริเวณแนวชายแดนด้านที่ติดกับกัมพูชาแล้ว ขณะที่สถานการณ์ตึงเครียดเริ่มบรรเทาลง แต่กองกำลังของไทยและกัมพูชา ยังคงอยู่ในสถานการณ์เตรียมพร้อม ซึ่งเป็นเพียง 1 วันหลังจากนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ของกัมพูชา กล่าวว่า การปะทะกัน 4 วัน ที่เริ่มตั้งแต่วันศุกร์ที่แล้วนั้น เป็นสงครามอย่างแท้จริง
ทั้งไทยและกัมพูชา ต่างกล่าวหากันในเหตุยิงปะทะกันใกล้ปราสาทพระวิหาร โบราณสถานอายุ 900 ปี ที่กลายเป็นประเด็นพิพาทระหว่างสองชาติ มาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1950 ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ฝ่ายไทยเสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บอย่างน้อย 34 คน ฝ่ายกัมพูชาเสียชีวิต 8 คน บาดเจ็บ 55 คน
ขณะเดียวกัน สถานีโทรทัศน์ วอยซ์ ออฟ อเมริกา รายงาน การค้าบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซบเซา นักท่องเที่ยวและพ่อค้า-แม่ค้าหดหาย ด่านช่องสะงำ คนข้ามชายแดนเหลือวันละไม่ถึง 10 คน
สถานีโทรทัศน์ วอยซ์ ออฟ อเมริกา รายงานว่า การค้าและการสัญจรบริเวณชายแดนไทยกัมพูชา ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า หลังจากเกิดเหตุปะทะกันเมื่อไม่นานมานี้ ใกล้กับดินแดนทับซ้อนใกล้ปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นข้อพิพาทระหว่างสองชาติ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายคน ประชาชนหลายพันคนของทั้งสองฝ่ายต่างหลบหนีไปยังที่ปลอดภัย นำไปสู่การลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวและพ่อค้าบริเวณชายแดน
ที่ตลาดช่องจอมที่เคยคึกคัก คราคร่ำไปด้วยพ่อค้าทั้งไทยและกัมพูชา กลับเงียบเหงาและปราศจากลูกค้า ตอนที่มีการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ร้านค้าหลายร้อยแห่งถูกทิ้งร้าง เพราะประชาชนพากันหลบหนีไปยังที่ปลอดภัย และยังคงสภาพอยู่อย่างนั้นจนถึงวันพุธ
พวกพ่อค้าอยากให้ทั้งสองฝ่ายหันหน้ามาเจรจากัน เพื่อจะได้กลับไปค้าขายได้เหมือนเดิมโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ที่บริเวณด่านช่องสะงำ พบว่า จำนวนผู้เดินทางข้ามชายแดนได้ลดลงจากวันละ 50 คน เหลือแค่ไม่ถึง 10 คน และไม่มีนักท่องเที่ยวเลยนับตั้งแต่เกิดเหตุยิงปะกันเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงเพราะสถานการณ์ไม่แน่นอน ซึ่งที่จริงแล้ว บริเวณด่านช่องสะงำ อยู่ห่างจากพื้นที่ที่มีการปะทะกันถึง 90 กิโลเมตร
แม้ว่าเสียงปืนจะสงบลงในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของความพยายามทางการทูตในการฟื้นฟูความสงบเรียบร้อย แต่ก็ยังพบว่า มีการเสริมกำลังทหารในพื้นที่ขัดแย้งผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่ง อ้างว่า เห็นรถถังและรถหุ้มเกราะของฝ่ายไทย ในเวลาเพียงวันเดียวหลังจากมีการเคลื่อนรถถังเข้าไปราว 20 คัน ส่วนผู้บัญชาการของฝ่ายกัมพูชา ก็ปฏิเสธว่าไม่ได้เสริมกำลังทหาร และบอกว่า กำลังใช้ความพยายามอดกลั้นอย่างที่สุด ส่วนการเจรจาทางการทูตกำหนดจะมีขึ้นที่นครนิวยอร์ค ในวันจันทร์นี้
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 1234 ครั้ง