วันที่ 23ก.พ. พันเอกมูฮัมหมัด กัดดาฟี่ ผู้นำลิเบีย ออกมาแถลงเมื่อวาน ที่กรุงทริโปลี เมืองหลวงของประเทศโดยบอกว่าจะไม่ลงจากอำนาจ และจะบดขยี้กลุ่มผู้ออกมาสร้างความวุ่นวายให้ประเทศ ในการแถลงอย่างเป็นเรื่องเป็นราวครั้งแรก นับตั้งแต่ที่ลิเบียตกอยู่ในความวุ่นวายอย่างหนักมานานกว่าสัปดาห์เมื่อประชาชนในหลายเมืองออกมาขับไล่เขาออกจากอำนาจและสามารถยึดเมืองมาควบคุมได้หลายเมือง กัดดาฟี่บอกว่าจะไม่ยอมออกจากลิเบีย และจะขอพลีชีพเพื่อศาสนา เขาจะสู้จนเลือดหยาดสุดท้าย รวมทั้งเรียกร้องผู้สนับสนุนออกมาแสดงพลังในวันนี้ โดยบอกให้ผู้สนับสนุนออกไปจัดการกับผู้ประท้วง ที่เขาเปรียบว่าเป็นพวกหนู และจัดการกับพวกมัน ไม่ว่าพวกมันจะอยู่ที่ไหนก็ตาม อย่าปล่อยให้พวกเหล่านี้มามอมเมาลูกหลานของพวกเขาเพื่อให้มาทำลายลิเบีย รวมทั้งให้สั่งทหารและตำรวจ บดขยี้กลุ่มผู้ชุมนุมด้วย
ในการแถลงที่คาดว่าเป็นการบันทึกเทปเอาไว้ล่วงหน้าและไม่มีผู้ฟังมานั่งฟัง ที่หน้าอดีตบ้านพักในกรุงทริโปลีของเขาซึ่งถูกสหรัฐถล่มในยุคทศวรรษที่ 80 และเก็บรักษาไว้ในสภาพที่ไม่มีการซ่อมแซม กัดดาฟี่ ที่ชูกำปั้นแสดงพลังอยู่หลายครั้ง บอกว่ากลุ่มผู้ประท้วงต้องการทำให้ลิเบียเป็นรัฐอิสลามและเขาจะโจมตีผู้ประท้วง เหมือนกรณีเทียนอันเหมิน
แม้ว่า ตำรวจทหารจะปราบปรามการชุมนุมอย่างหนัก แต่กัดดาฟี่บอกว่าเขายังไม่ได้เริ่มต้นใช้ความรุนแรง ยังไม่ได้สั่งให้ยิงใครสักนัด แต่ก็เต็มใจจะใช้ความรุนแรง และหากเขาสั่งให้ใช้ความรุนแรง ทุกอย่างจะถูกเผาผลาญ
เขาถามพวกผู้ประท้วงด้วยว่าตอนที่สหรัฐเอาระเบิดมาถล่มลิเบีย คนพวกนี้ไปอยู่ที่ไหนกัดดาฟี่ ที่มาในชุดเทอร์บานสีน้ำตาลอ่อน และแถลงโดยไม่มีโพย บอกคนที่ตายไม่ใช่กลุ่มวัยรุ่น หากแต่เป็นทหารและตำรวจของประเทศ ส่วนพวกวัยรุ่นที่ออกมาชุมนุมนั้นเป็นเพราะว่าเมายา และได้รับเงินมาจากคนกลุ่มเล็กๆที่ป่วย เพื่อให้มาโจมตีทหารและตำรวจ และอาคารของรัฐบาล งานนี้ กัดดาฟี่ ยังหยิบยกประมวลกฏหมายของประเทศมาอ้าง โดยบอกใครที่พกอาวุธต้องถูกลงโทษถึงประหารชีวิต โดยกัดดาฟี่ใช้เวลาแถลงนานถึงกว่าชั่วโมง โดยไม่มีสาระเรื่องอื่นใดนอกเหนือจากนี้
ด้านคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติออกแถลงการณ์เมื่อวานประณามรัฐบาลลิเบียที่ใช้กำลังปราบปรามผู้ประท้วงและเรียกร้องให้ยุติการใช้ความรุนแรง และเรียกร้องให้มีการดำเนินการกับผู้ที่รับผิดชอบในการใช้กำลังสลายผู้ประท้วง แต่ไม่ได้ระบุชื่อพันเอก โมอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย
แถลงการณ์ยังเรียกร้องให้รัฐบาลปกป้องประชากร อนุญาตให้ผู้สังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนและสำนักงานช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจากนานาชาติเข้าไปตรวจสอบ ตลอดจนรับประกันความปลอดภัยของชาวต่างชาติและช่วยเหลือคนที่ต้องการอพยพออกนอกลิเบีย
การประชุมครั้งนี้ จัดขึ้นตามคำร้องขอของนายอิบราฮิม ดับบาชี อัครราชทูตลิเบียประจำยูเอ็นที่ประกาศตัดความสัมพันธ์กับรัฐบาลลิเบีย เขาได้เรียกร้องให้คณะมนตรีฯ ประกาศเขตห้ามบินเหนือน่านฟ้าลิเบีย เพื่อสกัดกั้นอาวุธหรือทหารรับจ้างที่จะถูกส่งเข้าลิเบียเพื่อจัดการกับผู้ประท้วงรับรองความปลอดภัยแก่การลำเลียงสิ่งของบรรเทาทุกข์ไปช่วยประชาชนในพื้นที่รุนแรง และขอให้ศาลอาญาระหว่างประเทศสอบสวนคดีกับรัฐบาล แต่นายโมฮัมเหม็ด ชัลกัม เอกอัครราชทูตลิเบียประจำยูเอ็นซึ่งเข้าร่วมประชุมด้วยไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องเหล่านี้ และยังพูดปกป้องกัดดาฟี แม้จะเรียกร้องให้ยุติการนองเลือดในประเทศ
นายดับบาชี บอกว่า แถลงการณ์ของคณะมนตรีฯยังไม่แข็งกร้าวมากพอ เมื่อเทียบกับกัดดาฟี ที่แถลงออกทีวีอย่างท้าทายที่ยืนยันไม่ลาออกและจะบดขยี้กลุ่มผู้ออกมาสร้างความวุ่นวายให้ประเทศ เขาบอกด้วยว่าได้รับทราบข่าวว่าเริ่มมีกองกำลังออกสังหารประชาชนในพื้นที่ทางภาคตะวันตกของประเทศแล้ว หลังจากการสลายกลุ่มผู้ประท้วงตลอดหนึ่งสัปดาห์อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก
ลิน ปาสโก ผู้ช่วยเลขาธิการยูเอ็น บอกว่า สถานการณ์ในลิเบียอาจเลวร้ายลงอีก และเป็นสิ่งที่น่าวิตกอย่างยิ่ง นอกจากนี้การโจมตีประชาชนของตัวเองเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้อย่างสิ้นเชิง และยูเอ็นกำลังเตรียมอพยพเจ้าหน้าที่ราว 30 คนออกจากลิเบีย
ขณะที่อดีตประธานาธิบดีฟิเดล คาสโตร ของคิวบา วัย 84 ปี ที่ยังคงกุมอำนาจในพรรคคอมมิวนิสต์ได้เขียนบทความในสื่อของรัฐบาลคิวบา สหรัฐได้วางแผนสั่งการให้องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือ นาโต้ ส่งกองกำลังบุกลิเบีย ภายในอีกไม่กี่ชั่วโมง หรือไม่กี่วันข้างหน้าเพราะหวังจะยึดครองผลประโยชน์จากน้ำมัน และเขามั่นใจว่า สหรัฐไม่ได้สนใจเรื่องสันติภาพในลิเบีย
อดีตผู้นำคิวบา ยังระบุด้วยว่า จะรอดูว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ ที่อยู่เบื้องหลังรายงานที่ว่ามีการกวาดล้างอย่างนองเลือดต่อผู้ประท้วง ที่ชุมนุมต่อต้านพันเอกโมอัมมาร์ กัดดาฟี่ กันอยู่ตามถนนสายต่าง ๆ เมื่อไม่กี่วันมานี้ ที่กลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนและสื่ออาหรับ ระบุตัวเลขผู้เสียชีวิตว่าอยู่ระหว่าง 200 ถึง 400 คน และกล่าวหาทหารลิเบียกับทหารรับจ้างว่า ใช้กระสุนจริงกราดยิงใส่ผู้ประท้วง
คาสโตรนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพันเอกกัดดาฟี่มาหลายสิบปีแล้ว และพันเอกกัดดาฟี่เคยส่งสารไปให้กำลังใจเขา ตอนที่ล้มป่วยเมื่อปี 2549 ก่อนจะส่งมอบอำนาจให้ประธานาธิบดีราอูล ผู้เป็นน้องชาย ซึ่งในบทความล่าสุด คาสโตร ระบุว่า เขาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าพันเอกกัดดาฟี่ จะละทิ้งประเทศและความรับผิดชอบของเขาไปได้อย่างไร อันเป็นการแสดงความเห็นตอบโต้ รายงานข่าวก่อนหน้านี้ที่ว่า ผู้นำลิเบียได้หนีไปเวเนซุเอล่าแล้ว
ด้านเปรู ได้ระงับความสัมพันธ์ทางการทูตกับลิเบีย และกลายเป็นชาติแรกที่ดำเนินมาตรการตอบโต้ลิเลีย หลังการใช้กำลังเข้ากวาดล้างผู้ประท้วงที่ลุกฮือขึ้นขับไล่พันเอกกัดดาฟี่ ที่ครองอำนาจมานานถึง 41 ปี ประธานาธิบดีอลัส การ์เซีย ของเปรู ได้ออกแถลงการณ์ว่า เปรูระงับความสัมพันธ์ทางการทูตกับลิเบียไปจนกว่าการใช้ความรุนแรงต่อประชาชนจะยุติลง
เป็นที่น่าสังเกตว่า ยังไม่มีปฏิกิริยาออกมาจากทางประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ ของเวเนซุเอล่าที่ได้ชื่อว่าเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับพันเอกกัดดาฟี่เช่นกัน แต่ประธานาธิบดีดาเนียล ออร์เตก้า ของนิคารากัว ได้ปกป้องพันเอกกัดดาฟี่ว่า เขาได้คุยกับผู้นำลิเบีย ที่กำลังต่ออยู่อย่างยิ่งใหญ่และพยายามที่จะหาทางเจรจา แต่ขณะเดียวก็ปกป้องบูรณภาพของชาติ ไม่ให้เกิดความแตกแยก ไม่ให้ตกอยู่ในภาวะอนาธิปไตย
ด้านลิเบีย ได้เปิดเผยตัวเลขผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกว่า มีจำนวน 300 คน เป็นพลเรือน 189 คน และทหาร 111 นายโดยตัวเลขผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองเบนกาซีร์ ทางตะวันออกของประเทศ และได้ชื่อว่ามีการปะทะกันดุเดือดที่สุด ทำให้พลเรือนเสียชีวิต 104 คนและทหาร 10 นาย
ก่อนหน้านี้ นายซาอิฟ อัล อิสลาม บุตรชายของพันเอกกัดดาฟี่ ได้เปิดเผยตัวเลขผู้เสียชีวิตในระหว่างแถลงข่าวว่า มีจำนวน 300 คน ในจำนวนนี้เป็นทหารเพียง 58 นาย และการที่รัฐบาลปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร ทำให้การรายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตเต็มไปด้วยความสับสน กลุ่มฮิวแมนไรท์ วอทช์ ระบุว่า มี 233 คน ส่วนอินเตอร์เนชั่นแนล เฟดเดอเรชั่น ฟอร์ ฮิวแมน ไรท์ ระบุว่ามีจำนวนระหว่าง 300 – 400 คน
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 1337 ครั้ง