นายกฯ ตรวจห้างดัง พบไม่มีน้ำมันวางขาย อ้างนโยบายรัฐ สั่งสอบผลิตเดือนมกรา เพิ่งวางขาย ด้าน“พรทิวา” รับ 3 สินค้าขอขึ้นราคาแล้ว น้ำมันถั่วเหลือขึ้นโหดสุดขวดละ 19 บาท จาก 46 เป็นขวดละ 65 บาทตามด้วยปุ๋ย และนมพาสเจอร์ไรซ์
วันที่ 28 ก.พ. นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ (พณ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้มี 3 สินค้าทำเรื่องขอขึ้นราคามายังกระทรวงพาณิชย์แล้ว ได้แก่ น้ำมันถั่วเหลืองขอปรับขึ้นจากขวดละ 46 บาท เป็น 65 บาท หรือขึ้น 19 บาท/ขวด ปุ๋ยยูเรีย 3 สูตร ขอปรับราคาขึ้นเฉลี่ยถุงละ 8-10% และนมสดพาสเจอร์ไรซ์ ขอขึ้นลิตรละ 50 สตางค์ ตามต้นทุนน้ำนมดิบปรับขึ้นราคา โดยได้สั่งการให้กรมการค้าภายในไปพิจารณาต้นทุนและข้อมูลรอบด้าน เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนอนุมัติปรับขึ้นราคา
ส่วนสินค้าอื่นยังไม่มีรายใดยื่นขอเข้ามา เพราะอยู่ระหว่างการตรึงราคาสินค้าที่จะสิ้นสุดมาตรการในสิ้นเดือนมี.ค. ซึ่งหลังจากนี้จะพิจารณาต้นทุนให้ทุกรายการหากมีการยื่นเข้ามาอย่างสมเหตุสมผล และสอดคล้องกับสถานการณ์แท้จริง เพราะกระทรวงฯต้องดูแลภาวะเงินเฟ้อด้วย
สำหรับ การกระจายน้ำมันปาล์มฝาชมพู ในวันนี้(28)จะมีน้ำมันปาล์มเข้าสู่ระบบทั้งหมดในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล และซื้อได้ไม่จำกัด ส่วนต่างจังหวัดจะกระจายออกในอีก 2 วัน พร้อมปรับกลยุทธิ์ให้กระจายเพิ่มเป็น 2 เท่า จากการขนส่งปกติ และให้ขายร้านค้าโชห่วยในราคาขวดละ 44 บาท เพื่อให้ร้านค้ามีกำไรนำไปขายต่อในราคา 47 บาทได้
วันเดียวกัน เวลา 16.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เดินทางจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง มาตรวจสอบการจำหน่ายน้ำมันพืชที่ห้างคาร์ฟูย่านนวมินทร์โดยไม่มีการแจ้งกำหนดการไว้ล่วงหน้า จากนั้นได้เดินทางต่อมายังห้างโลตัสนวมินทร์ ซึ่งไม่มีในกำหนดการและไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้าเช่นกัน ซึ่งพบว่ามีแต่น้ำมันปาล์มฝาสีฟ้าวางเต็มชั้นและยังมีป้ายข้อความจำกัดให้ซื้อครอบครัวละ 1 ขวด
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการตรวจที่คาร์ฟูไม่จำกัดจำนวนในการซื้อ ส่วนที่โลตัสก็อย่างที่เห็น ทั้งนี้ในส่วนของน้ำมันปาล์มล็อตใหม่ฝาสีชมพู มาคืนนี้จะไม่จำกัดจำนวน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่แต่ละชุมชนเนื่องจากแต่ละชุมชนมีพฤติกรรมการซื้อที่แตกต่างกัน และขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ริหารว่าจะจำหน่ายอย่างไร ซึ่งตอนนี้ทุกห้างทราบนโยบายของรัฐบาลแล้ว
อีกด้านหนึ่ง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นำเจ้าหน้าที่กว่า 10 คน เข้าตรวจสอบศูนย์กระจายสินค้าวังน้อย ของห้างเทสโก้โลตัส เลขที่ 188/1 ม.4 ริมถนนพหลโยธิน ต.ลำไทร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อตรวจสอบสต๊อกน้ำมันปาล์มที่อยู่ในศูนย์กระจายสินค้าว่ามีถูกต้องหรือไม่
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ได้ใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมงในการตรวจสอบเอกสารการรับน้ำมันปาล์มจากบริษัทผู้ผลิตมายังศูนย์กระจายสินค้า ซึ่งการตรวจสอบครั้งนี้เจ้าหน้าที่ของศูนย์กระจายสินค้าไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไปร่วมรับฟังและ ห้ามเข้าพื้นที่เก็บสินค้ารวมทั้งห้ามถ่ายภาพภายในโกดังเก็บสินค้าโดยเด็ดขาด
พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล ผู้บัญชาการสำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ดีเอสไอ กล่าวว่า ในการตรวจสอบเอกสารอย่างละเอียดครั้งนี้ พบความผิดปกติของตัวเลขน้ำมันปาล์ม เนื่องจาก บริษัทผู้ผลิตน้ำมันพืชมรกต สำแดงเอกสารของน้ำมันปาล์ม ที่จัดส่งให้กับศูนย์กระจายสินค้าวังน้อยแห่งนี้จำนวน 650,000 ลิตร แต่เอกสารที่ศูนย์กระจายสินค้านำมาแสดงกลับระบุว่าได้รับน้ำมันปาล์มเพียง 540,000 ลิตรเท่านั้น
“จากการตรวจสอบทำให้ดีเอสไอตั้งข้อสังเกตว่ามีน้ำมันปาล์มหายไปกว่า 100,000 ลิตรซึ่งจะต้องตรวจสอบบริษัททั้ง 2 แห่งคือต้นทางและปลายทาง ว่าเพราะเหตุใดตัวเลขในการสำแดงเอกสารจึงไม่ตรงกัน และหากทั้งสองฝ่ายยืนยันความถูกต้องของยอดตัวเลขก็ต้องตรวจสอบอีกว่าน้ำมันปาล์มหายไปไหนจำนวน 1 แสนลิตร”พ.ต.ต.สุริยากล่าว
พ.ต.ต.สุริยา กล่าวว่า นอกจากนี้จากการตรวจสอบ ศูนย์กระจายสินค้าของห้างเทสโก้โลตัส จ.ปทุมธานี ก็พบความผิดปกติเช่นกัน เนื่องจากการสำแดงสินค้ากับกระทรวงพาณิชย์ของผู้ผลิตน้ำมันพืชมรกตมีการแจ้งเป็นขวด แต่เมื่อสินค้ามาถึงศูนย์กระจายสินค้ากลับระบุว่าเป็นแบบปี๊บ โดยดีเอสไอจะเรียกเอกสารทั้งหมดมาตรวจสอบว่าทำไมเอกสารต้นทางกับปลายถึงไม่ตรงกัน ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์จึงจะทราบผล
“จากนี้ดีเอสไอ จะตรวจสอบศูนย์กระจายสินค้าของห้างค้าปลีกขนาดใหญ่อีกหลายแห่ง เพื่อค้นหาสาเหตุว่าทำไมน้ำมันปาล์มจึงขาดตลาด”พ.ต.ต.สุริยากล่าว
นายกฯ กล่าวอีกว่าแต่มีการตั้งข้อสังเกตถึงวันผลิตที่อยู่ตามข้างขวด เพราะบางขวดระบุวันที่ 16-17 ก.พ. แต่บางขวดผลิตตั้งแต่ ม.ค. เรื่องนี้ต้องตรวจสอบ อย่างไรก็ตามสถานการดีขึ้นและราคาอยู่ที่ขาลง ทั้งนี้อยู่ที่ขั้นตอนของผู้ผลิตที่จะกระจายสินค้าไปยังโมเดิร์นเทรดอย่างไร แต่ก็ยังได้รับรายงานว่าบางจุดยังขาดอยู่
“ผมขอให้ประชาชนมั่นใจ ไม่มีความจำเป็นต้องกักตุน หรือเร่งซื้อเพราะสถานการณ์ดีขึ้นแล้ว”นายกฯกล่าว
จากนั้นนายกฯเดินทางต่อมายังโลตัสเอ็กซ์เพรส เนื่องจากมีประชาชนร้องเรียนว่าโลตัสเอ็กซ์เพรส ไม่มีน้ำมันวางจำหน่ายที่ชั้นเลย และมีการติดป้ายระบุว่า “ไม่มีน้ำมันปาล์มจำหน่ายเนื่องจากรัฐบาลมีการปรับเปลี่ยนนโยบายการกระจายสินค้า” ซึ่งนายวิทเยนทร์ มุตตามระ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ที่ถ่ายรูปป้ายข้อความดังกล่าวไว้ เปิดโทรศัพท์ให้นายกฯดูว่า ข้อความดังกล่าวว่ามีจริง นายกฯจึงเดินทางต่อมายังโลตัสเอ็กซ์เพรส ซึ่งอยู่ตรงข้ามซอยนวมินทร์ 60 (ซอยวัดบางเตย) ซึ่งนายกฯมาปฏิบัติภารกิจพอดี
เมื่อมาถึงนายกฯเข้าไปดูที่ชั้นจำหน่ายน้ำมันพืชทันที แต่พบว่า แม้จะไม่มีป้ายข้อความดังกล่าว และยังไม่มีน้ำมันพืชปาล์มแม้แต่ขวดเดียว นายกรัฐมนตรีจึงโทรศัพท์สั่งการกับบุคคลปลายสายทันทีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และได้สอบถามกับผู้จัดการสาขาที่มีสีหน้าตกใจว่า ทำไมไม่มีน้ำมันวางบนชั้น ซึ่งผู้จัดการตอบว่าไม่มีวางจำหน่ายเป็นเดือนแล้ว และเท่าที่ทราบว่ามีวางในสาขาใหญ่ด้วย ซึ่งเข้าใจว่าเป็นนโยบายของบริษัท
นายกฯสอบถามว่ามีการแจ้งให้สาขาทราบหรือไม่ ซึ่งพนักงานคนดังกล่าวได้แต่อึกอัก อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการพูดถึงเรื่องป้ายข้อความที่อ้างว่าเป็นโยบายของรัฐบาล พนักงานก็อึกอักและเลี่ยงตอบว่า “น่าจะเป็นใบที่บริษัทส่งมาให้ติด” ซึ่งนายอภิสิทธิ์ส่ายหัว และบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าสังเกต และคงต้องตรวจสอบต่อไป รวมทั้งเรื่องของวันผลิตข้างขวดด้วย
ต่อมาเมื่อเวลา 17.30 น. นายอภิสิทธิ์ เข้าตรวจชั้นวางขายน้ำมันพืชเป็นจุดที่ 4 ที่ท็อปซุปเปอร์มาร์เก็ต สาขาห้างเดอะคริสตัล (เลียบทางด่วนรามอินทรา) โดยไม่ได้แจ้งให้ห้างทราบล่วงหน้า ทั้งนี้นายกฯได้ยืนอ่านป้ายที่แปะอยู่ที่ชั้นวางระบุให้ซื้อคนละ 1 ขวด 1 ครั้งต่อวัน และงดร่วมรายการของห้าง จากนั้นพนักงานซึ่งเป็นรักษาการผู้จัดการสาขามาให้ข้อมูลกับนายกฯ และบอกตรงกับป้ายที่แปะ พร้อมระบุว่าด้วยว่าฝาสีชมพูกำลังจะวางจำหน่าย และไม่จำกัดจำนวนในการซื้อ ซึ่งถือว่าพนักงานคนดังกล่าวตอบคำถามได้เป็นที่พอใจ โดยนายกฯใช้เวลาเพียง15นาทีจึงเดินทางกลับ
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 1508 ครั้ง