กลุ่มคนเสื้อแดงประกาศขีดเส้นตายกดดันให้ยุบสภา ภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งครบกำหนดในเวลา 12.00 น. ของวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้ในช่วงเช้าวันเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ต้องเรียกประชุมแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล 4 พรรคเป็นการด่วน ภายในศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ นาน 1 ชั่วโมง ก่อนจะแถลงข่าวร่วมกันเมื่อเวลา 10.00 น.
โดยนายอภิสิทธิ์ แถลงยืนยันถึงการทำงานของรัฐบาลว่าพร้อมปฏิบัติหน้าที่ต่อไป และไม่สามารถทำตามข้อเสนอของกลุ่มคนเสื้อแดงได้ ดังนี้
ขอชี้แจงว่าหลังการชุมนุมเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงผ่านมา 2-3 วัน เหตุการณ์ทุกอย่างเรียบร้อยปกติแต่มีการยื่นข้อเรียกร้องให้ผมยุบสภาภายในเวลา 24 ชั่วโมง โดยประกาศข้อเสนอคือประมาณเวลา 12.00 น. ของวันนี้ (15 มี.ค.)
โดยกลุ่มผู้ชุมนุมได้เดินทางมาเพื่อฟังคำตอบจากผมในเวลาดังกล่าว
เช้าวันเดียวกันนี้ ผมจึงเชิญหัวหน้าพรรคหรือผู้แทนพรรคร่วมรัฐบาลมาหารือ เพราะข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นข้อเรียกร้องทางการเมือง ซึ่งได้คุยกันและเห็นพ้องต้องกัน
ในประการแรก คือ อยากยืนยันว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันได้ก่อตั้งขึ้นตามกระบวนการของรัฐสภาตามวิถีทางประชาธิปไตยอันมีกระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมาจากการเลือกตั้งของส.ส.เสียงส่วนใหญ่ เช่นเดียวกับ 2 รัฐบาลก่อนหน้านี้ หลังจากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2550
ในการจัดตั้งรัฐบาลเราได้พูดกันตั้งแต่วันแรกว่าหน้าที่ของเรา คือการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจเพื่อนำบ้านเมืองเดินไปข้างหน้าตลอดระยะเวลา 1 ปี 3 เดือนก็ได้เดินหน้าทำตามที่พูดไว้
ดังนั้น ข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมที่บอกให้ยุบสภาก่อนเที่ยงของวันนี้เพื่อนำไปสู่การยุติการชุมนุมเคลื่อนไหวนั้นทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้แต่ไม่ได้หมายความว่าผมหรือพรรคร่วมรัฐบาลจะไม่รับฟังข้อคิดเห็นของประชาชนรวมทั้งกลุ่มผู้ชุมนุมด้วยเป้าหมายของเราไม่ได้เกี่ยวข้องว่าจะต้องอยู่ในตำแหน่งหรืออยู่ในสถานะของความเป็นรัฐบาล
แต่เป้าหมายของเราคงเหมือนกับประชาชนคนไทยทั้งประเทศที่อยากเห็นประเทศเดินหน้าต่อไปได้ และประคับประคองระบบความถูกต้อง และหลักการสำคัญเพื่อให้บ้านเมืองมีความสงบ ไม่เฉพาะวันนี้แต่ต้องมองระยะยาวด้วยการยุบสภาเป็นทางออกทางการเมืองทางหนึ่งที่โดยปกติจะเกิดจากปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสภา หรือเกิดวิกฤตที่รุนแรงที่มองว่าการเลือกตั้งใหม่จะคลี่คลายวิกฤตนั้นได้ในปัจจุบันทุกฝ่ายน่าจะมองตรงกันว่าเรื่องการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่เป็นเพียงประเด็นหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทั้งหมด ใครที่ติดตามการปราศรัยของผู้ชุมนุมจะทราบว่าประเด็นที่มีการหยิบยกขึ้นมานั้น ภาพจริงไปไกลกว่าเรื่องผมและรัฐบาลด้วยซ้ำ
ดังนั้น หากการเลือกตั้งสามารถนำไปสู่ความสงบเรียบร้อยและเป็นประโยชน์กับประเทศอย่างแท้จริงได้นั้น จะต้องเป็นการเลือกตั้งที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันในเรื่องกติกา และเป็นการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นภายใต้ความสงบอย่างแท้จริงและเงื่อนไขนี้จะเกิดขึ้นได้นั้นคงไม่สามารถมีใครให้คำตอบได้ก่อนเที่ยงวันที่ 15 มี.ค. และรัฐบาลต้องฟังเสียงของประชาชนที่ไม่ได้มาชุมนุมด้วยเช่นกัน
ดังนั้น สิ่งที่พวกเรายืนยันคือแม้ว่าข้อเสนอยุบสภาจะไม่สามารถทำได้ก่อนเที่ยงวันที่ 15 มี.ค.แต่เรายินดีรับฟังความเห็นและแลกเปลี่ยนเหตุผลรวมทั้งต้องการให้กระบวนการตัดสินใจทางการเมืองเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศอยู่บนพื้นฐานการรับฟังความเห็นของคนทุกกลุ่มในสังคม ตรงนี้คือข้อยุติที่เห็นพ้องต้องกัน ขณะเดียวกันด้านการบริหารสถานการณ์ได้พูดคุยถึงแนวปฏิบัติในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ซึ่งทุกคนเห็นด้วยกับแนวทางที่รัฐบาลดำเนินการ นั่นคือการเคารพสิทธิของประชาชนที่ชุมนุมเคลื่อนไหวภายใต้รัฐธรรมนูญ
การใช้กฎหมายพิเศษเพื่อประโยชน์ในการทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ไม่มีความคิดจะไปริเริ่มใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม หรือการสลายการชุมนุมไม่มีความพยายามใดๆ ที่จะสร้างเงื่อนไขความขัดแย้งเพิ่มเติม
ยืนยันว่ารัฐบาลจะยังคงเดินหน้าบริหารสถานการณ์ต่อไป การปราศรัยบนเวทีของกลุ่มผู้ชุมนุมในช่วงเย็นและค่ำของวันที่ 14 มี.ค. จนถึงเช้าวันที่ 15 มี.ค. น่าเป็นห่วงเรื่องการใช้ข้อมูลที่เป็นเท็จเพื่อมุ่งให้เกิดความรู้สึกหรืออารมณ์ที่รุนแรงของผู้เข้าร่วมชุมนุมหากเชื่อข้อมูลเหล่านั้น
เช่น คลิปเสียงที่มีการพิสูจน์หลายครั้งแล้วว่ามีการตัดต่อ จึงขอชี้แจงให้ทุกฝ่ายเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคลิปเสียงหรือการเข้ารับราชการทหารของผมที่บอกว่าไม่มีการดำเนินคดีนั้น มันไม่จริง
ซึ่งทั้ง 2 กรณีมีการดำเนินคดีอยู่ เพราะผมได้ยืนยันในข้อเท็จจริงและพร้อมให้ศาลเป็นผู้พิสูจน์ เช่นเดียวกับอีกหลายเรื่องที่มีลักษณะทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างผู้ชุมนุมกับรัฐบาล
ผมขอให้ทุกฝ่ายได้พิจารณาจากแนวปฏิบัติของรัฐบาลชุดนี้ต่อการชุมนุมเคลื่อนไหวในลักษณะการต่อต้านรัฐบาลตลอดเวลา 1 ปี 3 เดือน น่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนอยู่ในใจแล้ว
ดังนั้น สิ่งที่เรากังวลขณะนี้คือแกนนำหรือคนบางกลุ่มต้องการสร้างให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกขัดแย้งสูงที่นำไปสู่การปะทะหรือยั่วยุให้เกิดการปะทะ โดยเฉพาะเมื่อการชุมนุมเข้าข่ายไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและมีการกระทำที่ผิดกฎหมายขึ้นมาแต่พรรคร่วมรัฐบาลได้ซักซ้อมและยืนยันกับผู้ปฏิบัติงานฝ่ายความมั่นคงว่า ขอให้ปฏิบัติหน้าที่บนพื้นฐานของความอดทนอดกลั้นจนถึงที่สุด และพยายามทำทุกวิถีทางในการสื่อสารทำความเข้าใจกับผู้ชุมนุมขอให้การปฏิบัติงานทุกอย่างอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายทุกฉบับ อยู่ในหลักการความโปร่งใสที่เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนมองเห็นการดำเนินการทุกอย่างที่ชัดเจน เปิดเผย ไม่มีการกระทำใดที่เป็นลักษณะแอบซ่อนเพื่อสร้างปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น
ขอย้ำอีกครั้งว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่มีประโยชน์ใดเลยที่จะทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย ความวุ่นวายในบ้านเมืองมีแต่จะทำให้การบริหารราชการแผ่นดินไม่ว่าเศรษฐกิจ การเมือง สังคมยากขึ้น และไม่มีเหตุผลอันใดที่รัฐบาลต้องการเช่นนั้นขอให้ประชาชนมีความสบายใจว่าความรุนแรงจะไม่มีวันเกิดขึ้นจากภาครัฐ ซึ่งจะทำหน้าที่รักษากฎหมายและปฏิบัติตามกฎหมายเท่าที่จำเป็น และเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยและการพบกันของพรรคร่วมรัฐบาลในวันนี้ เป็นคำตอบสำหรับข้อเสนอทางการเมืองส่วนการทำงานด้านการดูแลสถานการณ์ยังต้องขอความร่วมมือจากประชาชนและยึดแนวทางเดิมในการบริหาร ซึ่งศอ.รส.และหน่วยงานด้านความมั่นคงจะทำหน้าที่ดูแล
ขอเรียนให้ทราบว่าสถานการณ์ปัจจุบันเป็นเช่นใดและจุดยืนเป็นอย่างไร ผมยังทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชนตามปกติ ขอให้ความมั่นใจกับประชาชนอีกครั้งและพร้อมให้ข่าวสารกับประชาชนตลอดเวลา ผมทราบดีถึงความห่วงใยของประชาชนและความเครียดขอยืนยันว่าความห่วงใยของพวกเรามีไม่น้อยกว่าประชาชนและจะทำทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด
โดยไม่มีการสูญเสียใดๆ ทั้งสิ้
ที่มา:วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 7047 ข่าวสดรายวัน
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 921 ครั้ง