เผยเขมรส่งทหารขึ้นเสริมกำลัง “เขาพระวิหาร” ต่อเนื่อง โดยทยอยขึ้นมากลุ่มละ 10-20 นาย และพบมีการนำเอาเด็ก-สตรี ขึ้นมาเป็นโล่มนุษย์-ผบ.ทบ.ยันไม่ถอนทหาร หากเขมรยังตุกติกแหล่งข่าวทางทหารไทยเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดศรีสะเกษว่า ขณะที่บริเวณเขาพระวิหาร ชายแดนไทย-กัมพูชา อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ได้มีการเคลื่อนไหวของกำลังทหารกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง โดยทหารกัมพูชาจะส่งกำลังขึ้นมาบนเขาพระวิหารกลุ่มละประมาณ 10-20 คน และเมื่อทหารกัมพูชาเหล่านี้ขึ้นมาแล้วจะพากันหลบอยู่ภายในหลุมบังเกอร์ ไม่ออกมาเดินเพ่นพ่านเหมือนเช่นที่ผ่านมา
จนถึงขณะนี้มีทหารกัมพูชาขึ้นมาเพิ่มเติมที่เขาพระวิหารแล้วประมาณ 100-150 นาย ซึ่งทหารกัมพูชาบางส่วนเป็นทหารที่เพิ่งกลับมาจากการสู้รบที่ปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ขณะที่ทหารไทยได้เฝ้าจับตาดูความเคลื่อนไหวของทหารกัมพูชาที่เสริมกำลังทหารเพิ่มเติมที่เขาพระวิหารอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ ทหารกัมพูชายังได้นำเด็ก ผู้หญิง เข้ามาอาศัยอยู่ที่บริเวณเชิงเขาพระวิหารเพิ่มเติมมากขึ้นด้วย มีลักษณะที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าทหารกัมพูชาต้องการนำเอาโล่มนุษย์มาเป็นกำแพงกั้นหรือเป็นโล่กำบังระหว่างทหารกัมพูชากับทหารไทย เนื่องจากกฎการปะทะกันของทหารจะไม่มีการโจมตีหรือทำร้ายพลเรือนอย่างเด็ดขาด
ผบ.ทบ.ยันเขมรต้องถอนทหาร
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงการเข้าพบของ พล.อ.ดาโต๊ะ ซุลกีฟลี บิน โมฮัมเหม็ด ซิน ผู้บัญชาการทหารบก ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า เป็นการเข้าพบในฐานะมิตรประเทศ และหารือถึงความร่วมมือหลายๆ ด้าน ทั้งนี้เขาไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับปัญหาข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งเขาเคารพในการตัดสินใจของประเทศไทย และบอกว่าเป็นเรื่องภายในของประเทศไทย ในฐานะอยู่ในกลุ่มอาเซียน เขาก็อยากให้อาเซียนทำให้สถานการณ์เบาบางลง
อย่างไรก็ตาม เขาก็เคารพในการตัดสินในของ 2 ประเทศ ดังนั้น อาเซียนคงบังคับอะไรไม่ได้ เป็นเรื่องของ 2 ประเทศที่ต้องคุยกัน
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า สำหรับเรื่องผู้สังเกตการณ์ที่จะเข้ามายังพื้นที่พิพาทไทย-กัมพูชานั้น ขณะนี้ยังไม่ได้พูดกัน เป็นเรื่องของไทยและกัมพูชา 2 ประเทศจะตกลงหรือไม่ตกลง แต่กระทรวงการต่างประเทศได้ยืนยันไปแล้วต้องเคารพกฎกติกาก่อน ย้อนกลับไปดูต้นเหตุของปัญหาว่าอยู่ที่ไหน แล้วก็แก้ปัญหาตั้งแต่จุดนั้น ถ้าเราดำเนินการแก้ไขปัญหาจากหลังไปหน้ามันก็ต้องแก้ไปเรื่อยๆ มันก็กลับสู่ต้นเหตุทุกครั้งไป
“วันนี้ปัญหามันอยู่ที่ยังมีกำลังทั้ง 2 ฝ่ายอยู่ในพื้นที่ แล้วทำไมจึงต้องมี ก็เพราะว่ามีการละเมิด เมื่อฝ่ายหนึ่งละเมิดอีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องเอากำลังขึ้น ก็ต้องเอากำลังเราขึ้นไปปกป้องอธิปไตย ดังนั้น เราก็ไม่ถอน ถ้ากัมพูชายังไม่มีการถอนกำลังทหารเราก็ไม่ถอน กติกาเป็นแบบนี้และผู้บังคับบัญชาก็สั่งการมาแบบนี้”
กษิตยันเขมรต้องถอนทหาร
นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เขียนข้อความผ่านทวิตเตอร์ ชื่อผู้ใช้ @kasitpirom เมื่อเวลา 09.18 น.ว่า ตามที่ได้ประชุมร่วมกับรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาและรัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ได้ผลสรุปดังนี้ ท่าทีของรัฐบาลไทยที่แสดงออกไปคือ ไม่ต้องการเห็นความแตกแยกในประเทศอาเซียน สำหรับปัญหาไทยและกัมพูชา ได้ข้อสรุปเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติในการดำเนินการต่อไปเป็นแบบองค์รวม หรือแพ็คเกจ ผมจะนำข้อสรุปนี้เรียนเสนอท่านนายกฯ และจะขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาปรับเปลี่ยนรายละเอียดบางเรื่องอีกครั้ง แต่หลักการยังคงเดิม คือ ต้องให้กัมพูชาถอนทหารออกจากพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหาร วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ และตลาด ก่อนที่คณะผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซียจะลงพื้นที่ โดยรัฐบาลไทยมีความตั้งใจในการเจรจา และเป็นฝ่ายเสนอขอเจรจามาโดยตลอด รัฐบาลมีความมุ่งมั่นอยากเห็นสันติภาพของทั้ง 2 ประเทศ มีความโปร่งใส และมีกระบวนการตามกฎหมาย
ส่วนที่กล่าวหาว่าประเทศไทยบิดพลิ้ว ไม่เห็นชอบตามร่างข้อกำหนด (TOR) การส่งผู้สังเกตการณ์ชาวอินโดนีเซีย ก็ไม่เป็นความจริง ส่วนกรณีข่าวที่ระบุว่า รัฐมนตรีช่วยฯต่างประเทศมาเลเซียประณามไทย เป็นต้นเหตุทำให้เกิดการปะทะ ผมขอยืนยันว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นเช่นนั้น ซึ่งอธิบดีกรมเอเชียตะวันออกได้เชิญทูตมาเลเซียประจำประเทศไทยมาชี้แจงแล้ว สรุปว่าเป็นความเข้าใจผิด รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศมาเลเซียไม่ได้พูดแบบที่เป็นข่าว สื่อมวลชนอาจนำเสนอไม่ครบ
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 1210 ครั้ง