วันที่ 30 พ.ค. สำนักข่าว AP รายงานในบทวิเคราะห์ว่า เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าและนักท่องเที่ยวกลุ่มสุดท้าย พากันออกไปจากพระราชวังในกรุงพนมเปญ เมืองหลวงของกัมพูชาแล้ว กษัตริย์นโรดม สีหมุนี ผู้ทรงสุภาพและสง่างาม ก็เกือบจะทรงอ้างว้างอยู่กับความทรงจำอันเปี่ยมสุขมากกว่านี้ ในช่วงก่อนที่พระองค์ทรงจำต้องขึ้นครองราชย์ และอาจจะเป็นกษัริย์องค์สุดท้ายแล้วก็เป็นได้
กษัตริย์สีหมุนี อาจจะทรงสืบสันตติวงศ์ตามราชประเพณีที่สืบทอดมายาวนานถึง 2,000 ปีแต่พระองค์ดูจะทรงเหมาะกับงานด้านศิลปะในยุโรป ที่พระองค์ทรงเป็นนักบัลเล่ต์มากกว่าการเมืองที่ยุ่งเหยิงและรุนแรงบนแผ่นดินของพระองค์ ซึ่งทั้งที่ปรึกษาใกล้ชิดและผู้เชี่ยวชาญต่างระบุว่า พระองค์ทรงเป็นแค่เพียงสัญลักษณ์ และกลายเป็นนักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ภายในพระราชวัง ส่วนผู้คุมของพระองค์คือ นายกรัฐมนตรีฮุน เซน ผู้มีพื้นเพเป็นคนชนบทและยากจน ก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้มีบารมีและเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม ที่บางคนเรียกเขาเป็นเป็นนักการเมืองที่ไร้ความปรานี
นายกรัฐมนตรีฮุน เซน รวบอำนาจไว้ในมือจากการก่อรัฐประหาร เมื่อปี 2540 ในขณะที่กัมพูชากำลังฟื้นตัวอย่างช้า ๆ หลังถูกลากเข้าไปยุ่งเกี่ยวในสงครามเวียดนาม และสงครามกลางเมืองของตนเอง และแม้จะยืนยันในความเป็นประชาธิปไตย แต่เขาก็ใช้กลไกทุกอย่างที่รัฐบาลมี ในการยับยั้งเสียงวิพากษ์วิจารณ์และเพื่อความมั่นใจว่าจะชนะเลือกตั้งสมัยต่อไป ซึ่งกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้กล่าวหาเขาและกลุ่มนักธุรกิจที่สนิทสนมกับเขาว่า กอบโกยความร่ำรวยเข้ากระเป๋าตัวเอง ในขณะที่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศยังคงจมปลักอยู่กับความยากจน
นายกรัฐมนตรีฮุน เซน แผ่บารมีเข้าไปถึงในพระราชวัง กษัตริย์สีหมุนี ถูกจับตาจากจากคนของรัฐบาล ภายใต้การควบคุมของนายคง สม ออล รัฐมนตรีกิจการราชสำนัก ทำให้ต้องทรงมีผู้ติดตามในช่วงเสด็จออกนอกพระราชฐาน สื่อมวลชนถูกห้ามทำข่าวและรายงานข่าว และแม้รัฐธรรมนูญจะให้พระราชอำนาจ แต่พระองค์ทรงไม่เคยได้รับ
นายสัน ชัย ส.ส.ฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักวิจารณ์ฝีปากกล้า ให้ความเห็นว่า น่าจะเรียกพระองค์ว่าทรงเป็นกษัตริย์หุ่นเชิด เพราะทรงไม่เหลือพระราชอำนาจใด ๆ และดูเหมือนจะทรงต้องทำให้นายกรัฐมนตรีพอใจให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อความอยู่รอด ต่างจากสมเด็จนโรดม สีหนุ พระบิดาของพระองค์ ซึ่งทรงเป็นกษัตริย์ที่มีสีสันและเปี่ยมไปด้วยพระบารมีมายาวนานหลายทศวรรษ ถึงขั้นที่บางคนยกย่องว่า ทรงเป็นเจ้าแห่งกษัตริย์ และเมื่อถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษา ประชาชนนับหมื่นก็จะหลั่งไหลไปด้านนอกพระราชวัง เพื่อร่วมฉลอง รวมถึงการจุดพลุและงานรื่นเริงอื่น ๆ
กษัตริย์สีหนุ ทรงสละราชสมบัติ เมื่อปี 2547 หลังเผชิญหน้ากับนายกรัฐมนตรีฮุน เซน หลายครั้งและหลายคนเห็นว่า กษัตริย์สีหมุนีทรงยอมสืบทอดพระราชสมบัติ ภายใต้แรงกดดันจากพระบิดาและมารดา เพื่อความอยู่รอดของพระราชวงศ์ ซึ่งในอีก 7 ปีต่อมา คำว่า โดดเดี่ยวและถูกทอดทิ้งกลายเป็นคำที่ชาวกัมพูชาใช้เรียกกษัตริย์ของพวกเขาด้วยความเห็นใจ
เจ้าชายสีโสวัฒน์ โธมิโค ราชเลขาและที่ปรึกษาส่วนพระองค์ เปิดเผยว่า กษัตริย์สีหมุนี พระชนม์พรรษา 58 พรรษา ทรงหมดเวลาในแต่ละวันไปกับการลงพระปรมาภิไธยในเอกสารราชการ , พระราชทานอนุญาตให้แขกต่าง ๆ เข้าเฝ้า และพระราชกรณียกิจทั่วไป ก่อนจะเสวยพระกระยาหารค่ำเพียงลำพังและทรงอ่านหนังสือ
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 5853 ครั้ง