“ชวน”ถาม”ปลื้ม”ขับBMW-Z4 พ่อขับรถจี๊ปรบกวนอะไร”ณัฐวุฒิ” พวกปาไข่ทำคนไทยแตกแยก ย้อนพรรคพท. ทำนิรโทษกรรม ไม่ใช่การปรองดอง
นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง การนิรโทษกรรมว่า ต้องถามคนพูดเรื่องนิรโทษกรรม คืออะไร นิรโทษกรรมใคร เกิดขึ้นจากการกระทำอะไร ต้องไปดูเพราะจะตอบแบบรวม ๆ ไม่ได้ แต่หลักของการปรองดองดีที่สุด คือ หลักที่ใช้มาตรฐานเหมือน ๆ กัน ผิดว่าไปตามผิด ถูกก็ต้องบอกถูก จะเป็นการยืนยันหลักการปกครองบ้านเมืองที่ชอบธรรมและเป็นหลักของการใช้กฏหมายที่มั่นคง แต่หากกฏหมายไม่ดีเราต้องแก้ หลักเบื้องต้นต้องยึดแบบนี้ ส่วนรายละเอียดของการนิรโทษกรรมจะมีการนำเสนออย่างไร ก็ต้องไปดูข้อเท็จจริง
ส่วนกรณี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ปราศัยว่าตนเองล้างรถจี๊ปยุคสงครามโลกเตรียมออกหาเสียง แต่ไม่พูดถึง BMW Z4 ของน้องปลื้ม นายชวนพูดสั้น ๆ ว่า “ขับรถจี๊ป มันรบกวนอะไรคุณณัฐวุฒิ”
“ชวน” กรีดพวกปาไข่ทำคนไทยแตกแยก
นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง แผนปรองดองของพรรคเพื่อไทยว่า ต้องไปดูว่าเหตุของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาจากอะไร ต้องดูตรงนี้ก่อน หากความปรองดองมาจากความไม่เข้า ใจก็ต้องทำความเข้าใจกัน แต่หากการปรอองดองคือการทำให้คนทำผิดไม่ต้องรับผิดแบบนี้ไม่ใช่ปรองดอง ขณะนี้ถือว่ามาตรการปรองดองที่ดี่สุดในเบื้องต้นคือการที่ให้กลไกของการบริหารบ้านเมืองเป็นไปได้จริง ใคร ทำผิดก็ว่าไปตามผิด การแก้ให้ผิดเป็นถูกไม่ใช่วิธีปรองดองแต่จะเป็นวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าซึ่งจะกลายเป็น การสร้างปัญหาใหม่ ต้องไปถามคนที่คิดเรื่องนี้ว่าโจทย์ของเขาคืออะไร
ส่วนความเป็นห่วงของอุปทูตหลายประเทศในการจัดตั้งรัฐบาล นายชวน กล่าวว่า การตั้งรัฐบาลตอนนี้ไม่เหมือนก่อน การตั้งรัฐบาลต้องออกเสียงสมาชิกทุกคนในสภา ไม่ใช่หัวหน้าพรรคเอารายชื่อ ส.ส.ไปเสนอต่อประธานว่ามีเสียงข้างมาก เดี๋ยวนี้ต้องถามในสภา เพราะฉะนั้น ตัวจริงที่จะชี้ขาดว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีคือสมาชิกสภา ที่ตั้งรัฐบาลที่ผ่านมาทั้งสมัยนายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย สมชาย วงศ์สวัสดิ์ มาจนถึงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ใช้กระบวนการออกเสียง ซึ่งนายอภิสิทธิ์ก็ชนะในครั้งสุดท้าย และทำให้เป็นต้นเหตุของความไม่สงบในบ้านเมืองเพราะกลุ่มที่แพ้ไม่ยอมเลิก
นายชวน กล่าวว่า แนวทางที่จะทำให้การเมืองมั่นคงคือทุกฝ่ายต้องเคารพกกติกา การประท้วงปาไข่ไม่ควรทำ ถ้าทุกคนในทุกภาคคิดจะทำแบบนี้ บ้านเมืองจะแตกแยก ใครที่ไม่ใช่พวกตัวเองลงพื้นก็มาปาไข่หรือประท้วง ถ้าทุกภาคทำเหมือนกันประชาชนก็จะขัดแย้งกันมากขึ้น ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการการปกครองมา 79 ปี เลือกตั้งผ่านมายี่สิบกว่าครั้งไม่เคยมีแบบนี้
เมื่อวันที่ 21 มีนาคม “น้องปลื้ม” ในวัย 21 ปี กำลังศึกษาในชั้นปีที่ 3 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้ให้สัมภาษณ์ “เสาร์สวัสดี”ของกรุงเทพธุรกิจ มีรายละเอียด
@ปิดเทอมนี้มีแผนจะทำอะไรบ้าง
อาจจะอยู่กับเพื่อนๆ ก่อน เพื่อนมหาวิทยาลัย เพื่อนตั้งแต่ประถมก็มี อาจจะไปเที่ยวกันบ้าง ส่วนมากไปต่างจังหวัด ไปทะเล เที่ยวภูเขา แต่ก็ไม่ค่อยเตรียมตัวอะไรครับ อยากไปก็ไปกันเลย แต่ถ้าไม่ไปไหน ปลื้มก็ปีนหน้าผา เล่นเพนท์บอล
@หลายคนยังไม่รู้ว่าน้องปลื้มกลับจากเชียงใหม่ มาอยู่กรุงเทพฯ แล้ว
ครับ ช่วงนั้นคุณแม่มีปัญหาสุขภาพ ก็เลยย้ายไปอยู่เชียงใหม่กัน เพราะคุณหมอบอกว่าอากาศดีกว่า แล้วบ้านอยู่นอกเมือง ปลื้มก็เรียนแถวนั้น คิดว่าเรียนที่ไหนก็เหมือนกัน อยู่ที่ตัวเราเองมากกว่า แล้วก็อยากดูแลคุณแม่
@ชีวิตที่นั่นต่างจากที่กรุงเทพฯ อย่างไรบ้าง
ช่วงที่อยู่เชียงใหม่เป็นช่วงที่เก็บเกี่ยวได้หลายอย่าง ทำทุกอย่างตั้งแต่จูงควาย ดำนา จากเดิมตอน ม.ต้น เรียนเสร็จปุ๊บ ไปเรียนพิเศษสยามฯ เดินเล่น ซื้อของก็อยู่สยามฯ พอ ม.ปลาย อยู่กลางภูเขา แล้วไปตอนแรกฟังเขาพูดภาษาเหนือไม่รู้เรื่อง เราเป็นเด็กใหม่มาจากกรุงเทพฯ เขารู้ว่าปลื้มเป็นลูกใคร แรกๆ ก็มีคนอคติ ตอนหลังก็เป็นเพื่อนกันหมด ตามไปนอนบ้านเพื่อน เขาตื่นตี 5 จูงควายกินหญ้า จับปลาก็ตามเขาไป ทำให้ได้เห็นชีวิตอีกแบบ สังคมอีกกลุ่ม
@เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ตั้งใจจะให้เรียนรู้มั้ยคะ
ปลื้มเลือกเอง แต่คุณพ่อก็เห็นด้วยครับ บอกว่าบางอย่างต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง ไม่ได้อยู่ในตำรา แล้วชีวิตแบบนี้ คุณพ่อเคยเล่าให้ฟังตั้งแต่ปลื้มจำความได้ว่าตอนเด็กๆ พ่อก็ใช้ชีวิตแบบนี้ เราฟังก็ไม่เหมือนมาอยู่กับมันจริงๆ ได้เจอเพื่อนที่ไม่มีเงินซื้อข้าวกลางวันกิน ปลื้มไม่เคยเจอ เด็กกรุงเทพฯ มีเงิน 10 บาทเล่นเกม 5 นาทีหมด เลยช่วยกันตั้งกองทุนอาหารกลางวัน แล้วตามไปดูที่บ้าน ได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ ความยากลำบากของพวกเขาและหาทางช่วยเหลือกัน ปลื้มเองเปลี่ยนแปลงความคิดอย่างมากเรื่องการใช้เงิน และการมองคุณค่าของคนหลายๆ กลุ่ม
@เตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยอย่างไร ตั้งใจจะเรียนอะไร
ปลื้มเชื่อว่าอยู่ที่การแบ่งเวลาและความตั้งใจ อะไรที่สะดวก เหมาะกับตัวปลื้มและคุ้มค่าต่อการเรียนรู้ ปลื้มคิดว่าถ้าปลื้มต้องทุ่ม 100 เปอร์เซ็นต์กับการเข้ามหาวิทยาลัย ปลื้มทำไม่ได้ เพราะต้องดูแลคุณแม่ ต้องไปศึกษางานกับคุณพ่อ ปลื้มคิดว่าทุกอย่างไม่ได้ขึ้นกับการศึกษาเท่านั้น แต่อยู่ที่จิตใจและประสบการณ์ หลายคนที่ประสบความสำเร็จด้วยประสบการณ์ หลายคน…ใช่ เรียน แต่คุณไม่มีสิ่งที่เรียกว่าจรรยาบรรณ หรือจิตใจที่เข้ากับสังคมได้ ก็ไม่เรียกว่าประสบความสำเร็จ ปลื้มว่าทุกอย่างต้องควบคู่กันไป ชีวิตจึงจะประสบความสำเร็จ
ส่วนเรื่องสาขา ปลื้มดูตามความถนัดของตัวเองซึ่งก็คือด้านรัฐศาสตร์ คุณพ่อเป็นนักการเมือง ปลื้มก็ซึมซับจากคุณพ่อ จากการรับฟังคนใกล้ตัวคุณพ่อ ทำให้ปลื้มมีความถนัดทางการเมืองและรัฐศาสตร์ ก็เลยคิดว่าถ้าจะเรียนก็รัฐศาสตร์นี่แหละ แต่ถ้าย้อนกลับไปตอนเด็กๆ ปลื้มอยากเป็นสัตวแพทย์ (หัวเราะ)
@ทราบว่าเคยไปฝึกงานที่สวนสัตว์เชียงใหม่ ให้อาหารหมีแพนด้า?
เคยครับ (หัวเราะ) ไปทำงานพิเศษ ไปกวาดขี้ช้าง พางูไปอาบน้ำ ขัดขี้ไคลให้จระเข้ ทำหมดช่วงนั้น ตอนอยู่เชียงใหม่ ทำทุกอย่างจริงๆ ปลื้มชอบสัตว์ แล้วก็เป็นคนช่างสังเกต ขี้สงสัย คนรอบข้างรำคาญมาก
@เมื่อก่อนเห็นชอบเลี้ยงสัตว์แปลกๆ ยังเลี้ยงอยู่หรือเปล่า
ไม่แล้วครับ แต่ที่เชียงใหม่ก็แอบเลี้ยงหมา นก กระต่าย เลี้ยงควาย เลี้ยงวัว ซื้อควายมา 2 ตัว ออกลูกมาเป็น 6 ตัวแล้ว ทำหมันไม่ทัน วิ่งกันเต็มบ้าน
@ฟังดูเหมือนเลี้ยงไว้ดูเล่น?
(หัวเราะ) ไม่ได้ตั้งใจจะเลี้ยงฮะ ตอนนั้นขับรถไปกับเพื่อนในตลาดที่เชียงใหม่ เห็นรถกระบะขนควายมา 2 ตัว ก็ไปยืนดู ควายมองหน้า เออ สงสาร เดี๋ยวจะโดนเชือดแล้ว ก็ลูบหัวๆ เฮ้ย ควายร้องไห้ หันไปบอกเพื่อน ควายร้องไห้ เรียกมาดู มันร้องไห้ น้ำตาไหล เออ สงสัยชะตาต้องกัน เป็นควายท้องแก่ด้วย ตัวผู้ตัวกับตัวเมีย ก็เลยตัดสินใจเบิกเงินเก็บจากทำงานที่สวนสัตว์เชียงใหม่มาซื้อควาย 2 ตัว เดินจูงกลับบ้าน คุณแม่ตกใจ (หัวเราะ) ซื้อมาแล้วก็ต้องเลี้ยง ให้เดินอยู่ในสวน ก็ไม่ได้ทำข้าวของเสียหาย ไม่กินดอกไม้ของแม่ ตอนหลังคุณแม่ไปซื้อวัวมาจากไหนไม่รู้ กระต่ายเขาก็ให้มา ตอนนี้ออกลูก 3 โหล วิ่งเต็มบ้าน
@ตกลงเรียนรัฐศาสตร์ถือว่ามาถูกทาง?
ใช่ครับ ชอบ เหมาะกับความถนัดส่วนตัว เลยไม่ใช่เรื่องยากที่จะไปเรียนเพิ่ม ที่รามคำแหงก็ดี คุณครูดี
@น้องปลื้มติดตามคุณพ่อบ่อยๆ หรือคะ
ตลอดครับ คุณพ่อให้ติดตาม แล้วก็ชวนว่าพอเรียนจบปุ๊บให้เป็นเลขาฯ คุณพ่อ อยู่หน้าห้องคอยรับงาน ตามงาน ดูงาน จนอายุ 25 อาจส่งลง ส.ส. คือรอจบก่อนดูงานสัก 3-4 ปี แล้วดูอีกที แล้วแต่ตัดสินใจ แต่ปลื้มคิดว่าอะไรที่คุณพ่อแนะนำเป็นสิ่งดี คิดว่าคุณพ่อคุณแม่รู้จักตัวตนของเราดีที่สุด อะไรที่เขาแนะนำแล้วมันไม่ได้ขัดกับตัวเรามากนัก ปลื้มว่าเป็นเรื่องดีหมด
@คิดว่าตัวเองเป็นคนอย่างไร
บางคนบอกว่าปลื้มแปลก คิดพิลึกๆ ปลื้มเป็นคนธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษกว่าคนอื่น แต่ปลื้มมองในมุมที่คนอื่นไม่ค่อยมอง ชอบศิลปะด้วย ถ้าความถนัดไม่มาทางรัฐศาสตร์ ปลื้มคงเรียนด้านศิลปะ หรือการแสดง
@การเป็นลูกนายกรัฐมนตรี มีผลกับการเติบโตและเรียนรู้ของตัวเองอย่างไร
มีครับ มีอิทธิพลต่อปลื้มมาก แต่ความโชคดีของตัวปลื้มเองคือ ปลื้มเป็นเด็กที่มีความคิดแปลกๆ ในการคิดเรื่องต่างๆ เลยทำให้ปลื้มเติบโตแบบไม่เสียคน ปลื้มเจอตั้งแต่สมัยชวน 1 มีรุ่นพี่มาแกล้ง เพื่อนล้อ อ๊า ลูกนายกฯ แล้วคนก็คาดหวังว่า เราต้องเรียนดี เล่นกีฬาดี บุคลิกดี ต้องทำไรดีไปหมด
@ถูกคาดหวังในฐานะลูกนายกฯ?
ตลอดครับ พอคุณพ่อลงจากนายกฯ ก็ตามมาด้วยความคาดหวังกับลูกอดีตนายกฯ (หัวเราะ) คุณต้องเริ่ด ต้องเพอร์เฟกต์ แต่ปลื้มคิดอีกแบบ ปลื้มคิดเพื่อให้เราไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องสนใจสภาวะรอบด้านมากนัก ต้องอยู่แบบคงตัวตนของเรา ปลื้มเดินตามแนวทางของคุณพ่อแน่นอน แต่ปลื้มไม่ใช่คนที่จะต้องมาทำตามสิ่งที่คนอื่นพูด ปลื้มค่อนข้างมีอิสระทางความคิดสูง คุณพ่อปลูกฝังมาแบบนั้น อยากทำอะไรคิดเอง อยากทำอะไรทำ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ตัวเอง ครอบครัวและคนอื่น ทำ ปลื้มก็เลยเป็นพวกที่.. เป็นแบบนี้ (หัวเราะ) คุณพ่อคุณแม่ให้แนวทาง แต่การตัดสินใจเป็นของเรา ถ้าปลื้มบอกชอบไอ้นี่ แต่คุณพ่อจะบอกว่าทำแล้วมีข้อดีแบบนี้ ข้อเสียแบบนี้ แต่จะรู้ได้ต้องไปลองทำ แล้วถึงรู้ว่ามันก็เหมือนที่คุณพ่อพูดจริงๆ แล้วเราก็กลับมาคิดว่าเราจะชอบมันหรือเปล่า หรือเปลี่ยนไปสนใจอย่างอื่น
@เป็นลูกนักการเมืองใหญ่มีอภิสิทธิ์อะไรมั้ย
สปอยหรือครับ (หัวเราะ) คือปลื้มเป็นพวกแอนตี้เด็กที่คนอื่นชอบมองว่าคล้ายๆ ปลื้ม เช่น ลูกคนนู้น ลูกคนนี้ แล้วเท่าที่ปลื้มเห็นส่วนใหญ่คือ .. จะเป็นแบบที่พี่บอกคือ สปอย จนโตก็ยังเจอ นั่งรถไปตำรวจจับปุ๊บ ไขกระจกลงเลย รู้มั้ยฉันลูกใคร
@เคยถามใครแบบนี้หรือเปล่าคะ
ไม่ฮะ ปลื้มมองว่า เป็นการกระทำที่ไม่มีข้อดีครับ คือปลื้มเป็นพวกที่ถ้าทำแล้วไม่ได้ประโยชน์ต่อตัวเอง ต่อคนรอบข้าง ไม่รู้จะทำทำไม ทำแล้วไม่เห็นจะดูดี โชว์พาวอะไร ดูน่ารังเกียจมากกว่า คุณพ่อสอนมาตลอด ต้องทำตัวติดดิน แล้วปลื้มก็คบเพื่อนที่นิสัยคล้ายๆ กัน ไม่ต้องไปอวดอ้างอะไรมากมาย เราก็อยู่ของเรา ไม่ต้องเป็นอภิสิทธิ์ชน ปลื้มมองว่าการเป็นอภิสิทธิ์ชนคือการโดดเดี่ยว ปลื้มไม่อยากโดดเดี่ยว ปลื้มอยากอยู่กับเพื่อน เราไม่อยากอยู่เหนือคนอื่น ปลื้มอยากเป็นคนธรรมดาที่มีความสุข
@น้องปลื้มอยากเป็นนายกฯ บ้างมั้ย
เคยครับ (หัวเราะลั่น) ตอน ป.2 คิดเพราะตอนนั้นคุณพ่อเป็นนายกฯ ไปหาเสียง ช่วงเลือกตั้งลากปลื้มไปด้วย ตั้งแต่จำความได้ก็ไปหาเสียงกับคุณพ่อ แล้วก็งงว่า ทำไมหลายๆ คนต้องมากรี๊ดกร๊าดพ่อเรา พ่อไปทำอะไร พ่อค้าแม่ค้ามากอด เอาของกินมาให้ ยิ้มแย้ม ตบมือให้ ปลื้มก็รู้สึกว่ามันดูอบอุ่น พอโตมาอีกสเต็ปถึงเข้าใจว่าเพราะพ่อไปทำแบบนี้แบบนั้น คนถึงชอบ ก็คิดว่าถ้าเป็นไปได้ปลื้มอยากเป็นเหมือนคุณพ่อ ปลื้มเชื่อว่าคุณพ่อเป็นคนดี ตั้งแต่เกิดมาจนถึงทุกวันนี้เห็นกันมาตลอด ปลื้มรู้สึกประทับใจ ภูมิใจในตัวคุณพ่อที่ประชาชนรักคุณพ่อ ไม่ว่าคุณพ่อจะยิ่งใหญ่ หรือเป็นฝ่ายค้าน คนที่รักคุณพ่อก็ยังรักคุณพ่อ ตอนนั้นคิดว่าอยากเป็นนายกฯ ทำให้บ้านเมืองมีความสุข ประชาชนประทับใจในตัวเรา เหมือนประทับใจคุณพ่อ
แต่พอโตมาอีกสเต็ปหนึ่ง เริ่มรู้เรื่องการเมือง เริ่มแยกแยะคำว่ารัฐศาสตร์กับการเมืองว่าการเมืองเป็นอะไรที่ แบบว่า .. โหดร้าย สกปรก พูดให้ร้ายกันทั้งที่ไม่จริง ถ้าวันหนึ่งปลื้มได้เป็นนายกฯ ขึ้นมาจริงๆ แล้วครอบครัวปลื้ม ลูกปลื้ม ผู้หญิงที่ปลื้มรัก ต้องมาโดนเหมือนที่ปลื้มกับคุณแม่โดน ปลื้มคิดว่าเป็นอะไรที่ตัดสินใจลำบาก ว่าปลื้มจะเลือกที่จะปกครองประเทศชาติ หรือทำให้ครอบครัวต้องเจอกับเรื่องเหล่านี้ จริงไม่จริงไม่รู้ แต่ต้องให้เราเสียไว้ก่อน อันนั้นเป็นคอนเซปต์ทางการเมือง ซึ่งรู้สึกว่ามันเหนื่อยนะ คุณพ่อก็เหนื่อย เขาไม่ได้ทำแค่พ่อ เขาลามมาถึงปลื้มกับแม่ด้วย
@คิดอย่างไรที่ตัวเองต้องเจอกับเรื่องร้ายๆ เพราะเป็นลูกนักการเมือง
รู้สึกว่า ทำไม ไร้เหตุผล ทำไม เพราะอะไร อย่างแรกเลย มันไร้เหตุผลมาก คุณพ่อเป็นนักการเมือง คุณเป็นผู้ใหญ่ก็ไปทะเลาะกันเอง ทำไมลามปามมาถึงคุณแม่ ถึงปลื้ม ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยเลย เพราะอะไร
ไร้เหตุผลคือ หลายอย่างมันไม่จริง มันไม่ได้เกิดขึ้น คุณไม่มีเหตุผลเลย แต่ก็มีข้อดี ทำให้เราแกร่ง ทำให้เรามีความคิดที่แตกต่างจากคนทั่วไป ปลื้มเชื่อว่าถ้าคนอื่นเจออาจจะเจ็บใจ เสียใจ รับไม่ได้ แต่ปลื้ม ไม่ ไม่เสียใจ เจ็บใจ แค่งง สงสัย ทำไม พอปลื้มเจอเรื่องร้ายๆ ปลื้มไม่เสียใจ เจ็บใจอะไรมากมาย เพราะเราเจอมาเยอะแล้ว ก็ดี ดีกว่าไม่เคยเจอเรื่องร้ายๆ มาเลย ตอนเด็กๆ เราเจอ ก็แค่ร้องไห้ แต่ถ้าโตแล้ว ไม่เคยผ่านเหตุการณ์อะไรมา เราคงจัดการไม่ถูก วัยรุ่นที่เสียใจเรื่องแฟน เรื่องสอบ เรียนไม่ดี เอนท์ไม่ติด ปลื้มคิดว่า ถ้าจิตใจเราแกร่ง เราจะไม่เสียใจกับเรื่องพวกนี้มากมาย
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 2346 ครั้ง