“รักระหว่างรบ” ทหารพุทธ-สาวมุสลิม แต่งงาน-หนีตาม-ทำแท้ง! สังคมเฟะ “อย่างแรง” ที่ชายแดนใต้
ผลงานของฝ่ายความมั่นคงในภารกิจ “ดับไฟใต้” 5 นายกฯ 6 รัฐบาล นอกจากจะละลายงบประมาณไปกว่า 1.45 แสนล้าน โดยที่สถานการณ์ยังคงรุนแรงรายวันแล้ว ยังมีประเด็นที่ไม่ค่อยมีใครอยากพูดถึง แต่ก็ลือกันให้หึ่งทั่วชายแดนใต้ ก็คือปม “ชู้สาว” ระหว่างทหารพุทธกับหญิงสาวมุสลิม
คลิปวิดีโอที่ทหารวัยฉกรรจ์นั่งกอดจูบลูบคลำกับสาวสวมฮิญาบในลักษณะ “ถูกแอบถ่าย” บนดาดฟ้าของอาคารเตี้ยๆ หลังหนึ่ง (บ้างก็ว่าเป็นสถานีวิทยุของส่วนนราชการแห่งหนึ่ง) ซึ่งถูกเผยแพร่และส่งต่อไปทั่วพื้นที่เมื่อปลายปีที่แล้ว คือตัวอย่างอัน (ไม่) ดีที่สะท้อนถึงสภาพอันเหลวแหลกเละเทะทางศีลธรรมในดินแดนปลายสุดด้ามขวานในยุคที่มีทหาร ตำรวจ ลงไปปฏิบัติการมากถึงกว่า 60,000 นาย นับเฉพาะทหารก็ปาเข้าไปกว่าครึ่ง
เรื่องราว “ลับเฉพาะ” นี้ได้กลายเป็นเงื่อนไขให้ฝ่ายขบวนการก่อความไม่สงบนำไปขยายผลให้คนในสามจังหวัดเกลียดชังเจ้าหน้าที่มากขึ้นในสงครามแย่งชิงมวลชนที่ฝ่ายรัฐดูจะเสียเปรียบมาตลอด 7 ปีเต็ม
ภาพจากคลิปวีดิโอแอปถ่ายทหารกับหญิงมลายูที่เป็นที่ฮือฮาเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา
“นิยายรัก”กลางสมรภูมิรบ
พูดกันอย่างเป็นธรรม…การมีหนุ่มในเครื่องแบบรูปงามลงไปเดินกันให้ขวักไขว่ ขณะที่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็มีหญิงมุสลิมวัยสะพรั่งจำนวนไม่น้อย โอกาสที่ฝ่ายหญิงและฝ่ายชายจะ “ปิ๊งปั๊ง” กระทั่ง “สปาร์ค” เป็นสัมพันธ์ลึกซึ้งเกินกว่าเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชนย่อมมีมากและมิอาจหลีกเลี่ยง
แต่ประเด็นนี้เป็นประเด็นอ่อนไหวอย่างยิ่ง เพราะมีเรื่อง “ศาสนา” เข้ามาเกี่ยวข้อง เนื่องจากชายในเครื่องแบบเกือบ 100% เป็นพุทธศาสนิกชน ขณะที่สาวๆ ในพื้นที่กว่า 80-90% ก็เป็นมุสลิม
การมีสัมพันธ์หรือแต่งงานกันข้ามศาสนาเป็นเรื่องใหญ่ในดินแดนที่ศรัทธาแห่งอิสลามแรงกล้าเช่นที่นี่ ประเพณีที่รู้ๆ กันก็คือ ไม่มีใครอยากให้ลูกสาว “แต่งออก” สิ่งเดียวที่พอจะยอมรับได้ก็คือให้ชายจากศาสนาอื่นยอม “รับอิสลาม”
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ปัญหาจบ เพราะพื้นที่นี้มีขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรือ กลุ่มก่อความไม่สงบ เป็นตัวละครหลักที่ทรงอิทธิพลอยู่ด้วย การขับเคลื่อนของขบวนการยืนอยู่บนฐานความเชื่อทางศาสนาอันเคร่งครัด (ไม่ว่าจะสร้างภาพหรือไม่ก็ตาม) ฉะนั้นพฤติกรรมข้ามเส้นประเพณีหรือหลักการทางศาสนาจึงเป็นเงื่อนไขที่ขบวนการหยิบมาใช้โจมตีเจ้าหน้าที่รัฐได้อย่างง่ายดาย
ฝ่ายความมั่นคงเองก็ตระหนักเรื่องนี้เป็นอย่างดี และพยายามหามาตรการป้องกันอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะ “กฎเหล็ก” ของแม่ทัพภาคที่ 4 ตั้งแต่ยุค พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร (ต.ค.2551 ถึง ก.ย.2553 ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ยศพลเอก) จนถึง พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ (ต.ค.2553 ถึงปัจจุบัน) ที่ห้ามทหารหาญในบังคับบัญชามีสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับ “หญิงมุสลิม” ในพื้นที่อย่างเด็ดขาด
พล.อ.พิเชษฐ์ สมัยดำรงตำแหน่งแม่ทัพ ถึงกับห้ามกำลังพลขอเบอร์โทรศัพท์สาวมุสลิมด้วยซ้ำ
แต่ดูเหมือน “กฎเหล็ก” และ “ม่านประเพณี” จะมิอาจขวางกั้นความรู้สึกดีๆ ของคนสองคนได้ ตลอดมาจึงมีข่าวทหารไทยใจกล้ารักใคร่ชอบพอกระทั่งมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหญิงมุสลิมเล็ดลอดออกมาเป็นระยะ แต่ด้วยความที่เป็นประเด็นละเอียดอ่อนทั้งในแง่ความมั่นคงและศาสนาดังกล่าว จึงทำให้ไม่ค่อยมีใครอยากจะพูดถึงกัน
แต่ในที่สุด “รักกลางสนามรบ” ก็ไม่อาจกลบให้เป็นเรื่อง “ลับเฉพาะ” ของคนสองคนได้อีกต่อไป เมื่อมีคลิปทหารกอดจูบดูดดื่มกับสาวสวมฮิญาบว่อนอยู่ในโลกไซเบอร์ ทำลาย “กฎเหล็ก” ของแม่ทัพอย่างชนิด “ตีแสกหน้า”
นายทหารที่ทำงานใกล้ชิดกับทั้งแม่ทัพพิเชษฐ์ และแม่ทัพอุดมชัย กล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไม่ค่อยเต็มใจจะพูดถึงว่า เป็นเรื่องที่พูดยาก เพราะพูดไปก็จะมีแต่เสียกับเสีย แต่ประเด็นก็คือต้องเข้าใจว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยความยินยอมพร้อมใจของ “คนสองคน” เท่านั้น
“ตบมือข้างเดียวคงไม่ดัง ยอมรับว่าที่ผ่านมาเรามีกฎเหล็กก็จริง แต่ก็มีทหารจำนวนหนึ่งที่แหกกฎ เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะจะว่าไปก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา หลายคู่ก็จริงจังถึงขั้นแต่งงานกัน ทหารเราเปลี่ยนศาสนาไปเป็นอิสลามก็มี ก็อยู่กันอย่างมีความสุข” นายทหารคนใกล้ชิดแม่ทัพ กล่าว
แต่งงาน-หนีตาม-ทำแท้ง
จากการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า เรื่องราวความสัมพันธ์เชิงชู้สาวระหว่างทหารกับหญิงสาวมุสลิมนั้น มีจำนวนไม่น้อยเลย บางพื้นที่แทบจะเป็นกระแสคล้ายๆ หญิงไทยในภาคอีสานนิยมแต่งงานกับฝรั่งเลยทีเดียว
หมู่บ้านแห่งหนึ่งในอำเภอพื้นที่สีแดงของ จ.ยะลา มีการแต่งงานระหว่างเด็กสาวในหมู่บ้านกับทหารหาญที่เข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่แล้วถึง 5 คู่!
นายยะโก๊ป หร่ายมณี อิหม่ามมัสยิดกลางประจำจังหวัดปัตตานี ยืนยันข้อมูลเรื่องนี้ว่า ระยะหลังการแต่งงานระหว่างคู่บ่าวสาวที่เจ้าบ่าวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐและเป็นคนนอกศาสนา (อิสลาม) ซึ่งมาปฏิบัติงานรับใช้ชาติอยู่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กับเจ้าสาวที่เป็นผู้หญิงมุสลิมมีมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
ขณะที่อิหม่ามประจำมัสยิดเล็กๆ แห่งหนึ่งใน จ.ยะลา บอกว่า มีเด็กสาวมุสลิมมาขอให้ทำพิธีแต่งงานกับทหารซึ่งเป็นคนนอกศาสนาหลายคู่แล้ว ซึ่งเขาไม่สามารถห้ามปรามอะไรได้ ก็ต้องทำให้ เพราะหากไม่ทำก็เกรงจะเกิดผลร้ายตามมา เช่น หนีตามกันไป ซึ่งจะกลายเป็นการอยู่กินกันอย่างผิดหลักศาสนา
อย่างไรก็ดี เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างทหารหนุ่มกับมุสลิมสาวไม่ได้มีเฉพาะที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม คือแต่งงาน เปลี่ยนศาสนา แล้วอยู่กันอย่างมีความสุขเท่านั้น เพราะว่ายังมีอีกหลายคู่ที่กระทำในลักษณะผิดศีลธรรม โดยเฉพาะการที่ฝ่ายชายไปมีสัมพันธ์กับหญิงมุสลิมที่มีสามีแล้ว กระทั่งต้องเลิกรากับสามีเก่า จากนั้นก็พากันหนี
นายเซ็ง (สงวนนามสกุล) ชาวบ้านในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เล่าว่า ลูกสาวของเขา 2 คนหนีตามทหารเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งใน อ.บันนังสตา จ.ยะลา โดยลูกสาวคนโตของเขามีสามีอยู่แล้ว แต่กลับไปมีความสัมพันธ์กับทหารจนต้องแยกทางกับสามีที่อยู่กินมานานถึง 5 ปี
“เมื่อก่อนลูกสาวเป็นเด็กดี อยู่ในกรอบประเพณีและศาสนา คนพี่มีสามีอยู่แล้ว สามีก็ทำมาหากินเลี้ยงครอบครัวเป็นอย่างดี แม้จะยังไม่มีลูก แต่พวกเขาก็วางแผนจะมีลูกด้วยกัน ต่อมามีทหารเข้ามาทำงานในหมู่บ้าน ลูกสาวก็ไปคบหาและไปไหนมาไหนด้วยกันจนต้องเลิกรากับสามี ส่วนคนน้องก็หนีไปกับทหารด้วย อกคนเป็นพ่อแทบแตก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ทนร้องไห้อยู่ในใจเพราะเจ็บใจที่ลูกสาวสองคนหนีตามทหารไป” เขาระบายความรู้สึก
นายเซ็ง บอกด้วยว่า เป็นห่วงลูกหลานคนอื่นๆ ในพื้นที่มาก กลัวจะต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกับเขาที่ลูกสาวหนีตามทหารให้ได้อับอาย
นอกจากเหตุการณ์ “หนีตาม” หรือ “วิวาห์เหาะ” แล้ว ยังมีเรื่องบัดสีที่รู้กันวงในอีกหลายกรณี เช่น “คนมีสี” หน้าห้องผู้ใหญ่คนหนึ่งของฝ่ายความมั่นคง เคยพาเด็กสาวมุสลิมไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังใน จ.ยะลา เพื่อทำแท้ง!
เรื่องนี้ปรากฏเป็นข่าวลือแบบ “ปากต่อปาก” ชนิดเมาท์กันแซ่ดในพื้นที่ เพราะเผอิญในวันที่พากันไปโรงพยาบาลนั้น มีนักข่าวแอบเห็นและจำหน้า “คนมีสี” รายนี้ได้ ในจังหวะที่ฝ่ายชายกำลังพยายามพูดจาหว่านล้อมปลอบประโลมให้เด็กสาวยอม “ทำแท้ง” โดยอ้างว่าไม่พร้อมมีบุตร
คลิปข่มขืน-ข่าวลือชำเรา สะท้อนสังคมเน่าเฟะ
ไม่ใช่เพียงแค่ “หนีตาม-ทำแท้ง” เท่านั้นที่เป็นเรื่องราวเสียดแทงคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่ชาวบ้านเชื่อว่ามีการ “ข่มขืน” หญิงมุสลิมเกิดขึ้นด้วย
อย่างเช่นเหตุการณ์ที่ อ.กริงปินัง จ.ยะลา เมื่อปีก่อน ลือกันว่าทหารพรานใช้อาวุธปืนจี้บังคับเด็กสาวหน้าตาดีซึ่งมักทำหน้าที่ถือป้ายเดินพาเหรดในงานโรงเรียนหรืองานของหมู่บ้าน แล้วพาตัวไปข่มขืนกระทำชำเราในป่าละเมาะเขต อ.เมือง จ.ยะลา
เรื่องนี้จริงเท็จอย่างไรไม่มีใครรู้ แต่ญาติของเด็กซึ่งเป็นผู้ปกครองได้ไปแจ้งความเอาไว้ที่สถานีตำรวจ และมีการทำคดีกันจริง มีการเรียกภาพถ่ายทหารทั้งทหารหลักและทหารพรานจากทุกฐานปฏิบัติการรอบๆ พื้นที่เกิดเหตุมาให้ผู้เสียหายชี้ รวมทั้งตรวจดีเอ็นเอผู้ต้องสงสัยบางรายด้วย
แต่คดีนี้ทำไปๆ ฝ่ายตำรวจค่อนข้างเชื่อว่าเป็นเรื่อง “โอละพ่อ” เพราะ 1.ผู้เสียหายไม่ยืนยันว่าคนร้ายเป็นทหารหรือไม่ แค่บอกเพียงว่ามีพระห้อยคอ 2.ระยะทางจากจุดที่อ้างว่ามีการใช้อาวุธปืนจี้พาตัวไป กับจุดที่อ้างว่ามีการข่มขืน ห่างกันนับสิบกิโลเมตร และต้องผ่านด่านตรวจหลายด่าน หากมีการกระทำในลักษณะลักพาตัวหรือไม่สมยอม เจ้าหน้าที่ตามด่านต้องสังเกตเห็น
3.เมื่อสอบลึกลงไปพบข้อมูลน่าเชื่อว่าเด็กสาวกับผู้ถูกกล่าวหาอาจจะรู้จักกันมาก่อน หรืออาจเป็นคู่รักกัน เมื่อออกไปข้างนอกด้วยกันแล้วผู้ใหญ่ทางบ้านของฝ่ายหญิงรู้ เด็กหญิงก็เลยสร้างเรื่องว่าถูกข่มขืนข่มขู่ จะได้ไม่ถูกตำหนิ และ 4.หลังเกิดเหตุแม่ของเด็กสาวซึ่งอยู่ต่างอำเภอ ได้รับเด็กสาวไปอยู่ด้วย และให้ลาออกจากโรงเรียน ทำให้คดีปิดไม่ลง
เรื่องนี้ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร แต่หากไปถามชาวบ้านในละแวกที่เด็กสาวเคยอยู่ จะได้รับคำตอบว่าเป็นการ “ข่มขืน” ทั้งสิ้น แสดงว่าข่าวแบบนี้ชาวบ้านพร้อมเชื่อทันทีหากไม่รีบสร้างความกระจ่าง หรือมีข้อมูลหักล้างที่น่าเชื่อถือเพียงพอ
นางอังคณา นีละไพจิตร ประธานมูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ ซึ่งทำงานด้านผู้หญิงและสิทธิมนุษยชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า เรื่องการข่มขืนมีการร้องเรียนเข้ามาตลอด แต่แทบทั้งหมดไม่สามารถจับคนทำผิดมาลงโทษได้ ทั้งที่บางคดีก็มีหลักฐานไม่น้อย บางเหตุการณ์ผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหายังยอมรับเสียด้วยซ้ำว่าเป็นกำลังพลของตนเอง แต่สุดท้ายเรื่องก็เงียบไป มีการเจรจาต่อรองให้ยอมความบ้าง ให้แต่งงานกันบ้าง ขณะที่ชาวบ้านไม่กล้าเรียกร้องสิทธิเพราะกลัว
นอกจากนั้น เรื่องต่ำทรามอย่างการ “ข่มขืน” ยังเกิดขึ้นในฟากของเจ้าหน้าที่รัฐเองด้วย เพราะเมื่อเดือน พ.ย.ปีที่แล้ว เพิ่งเกิดคดีตำรวจหญิงสังกัดโรงพักแห่งหนึ่งใน จ.ยะลา เข้าแจ้งความร้องทุกข์ว่าถูกเพื่อนสาวซึ่งเป็นตำรวจด้วยกันล่อลวงไปให้เพื่อนตำรวจผู้ชายข่มขืน แถมหนึ่งในตำรวจที่ถูกกล่าวหายังมีรางวัลแห่งเกียรติยศของวงการสีกากีพ่วงท้ายด้วย
ที่หนักก็คืองานนี้เป็นปัญหาขัดแย้งส่วนตัวกันระหว่างตำรวจหญิงสองคน ฝ่ายหนึ่งจึงมอมเหล้าอีกฝ่ายไปให้เพื่อนชายที่เป็นตำรวจด้วยกันรุมโทรม!
เรื่องนี้ทำให้ฝ่ายความมั่นคงเสียหายถึง 2 เด้ง คือนอกจากพฤติกรรมตำบอนของ “คนในเครื่องแบบ” ที่เล่นงานกันเองแล้ว (ถ้าเป็นชาวบ้านจะขนาดไหน) ยังเจอกลุ่มผู้ไม่หวังดี “ปล่อยคลิป” ไล่หลัง โดยอ้างว่าเป็นคลิปของตำรวจหญิงถูกทหารพรานข่มขืนซ้ำ เนื่องจากมีข่าวลือบางกระแสระบุว่า หลังกลุ่มตำรวจรุมโทรมเสร็จแล้ว ยังนำร่างไร้สติของตำรวจหญิงผู้เสียหายไปโยนไว้ที่หน้าค่ายของทหารพรานแห่งหนึ่ง ด้วยหวังให้โดนข่มขืนต่ออีกด้วย
นี่จึงเป็นที่มาของการ “ปล่อยคลิปทหารพราน” ทั้งๆ ที่เป็นคลิปเก่าที่เคยเผยแพร่มาแล้วเมื่อ 2 ปีก่อน ซึ่งสมัยนั้นอ้างว่าเป็นคลิปทหารพรานข่มขืนสาวมุสลิม และได้มีการตรวจพิสูจน์กันเป็นการภายในแล้วว่าน่าจะเป็นภาพยนตร์ประเภทปลุกใจเสือป่าของต่างประเทศมากกว่า แต่แล้วก็ยังมี “มือมืด” ปล่อยคลิปเก่าโดยอ้างว่าเป็นคลิปทหารพรานข่มขืนตำรวจสาว หวังสร้างความแตกแยกระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐต่างหน่วยด้วย
จัดเด็กสาวติดยาส่ง “ลูกค้า” ถึงโรงแรม
ความฟอนเฟะของสังคมชายแดนใต้ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะจากการลงพื้นที่พูดคุยกับพนักงานโรงแรงชื่อดังแห่งหนึ่งใน จ.ปัตตานี ได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการ “จัดเด็ก” ส่งให้ลูกค้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับต่างๆ ที่ลงมาปฏิบัติงานแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่นั่นเอง
พนักงานโรงแรมรายนี้ เล่าให้ฟังว่า ช่วงที่มีคณะเจ้าหน้าที่มาพัก มักจะเห็นหญิงวัยรุ่นทั้งไทยพุทธและมุสลิม อายุตั้งแต่ 16 ปีถึง 20 ต้นๆ เดินเข้าออกโรงแรงเป็นจำนวนมาก โดยเด็กเหล่านั้นมี “กระเทย” คอยขี่รถจักรยานยนต์รับส่ง
ด้วยความสงสัยเขาจึงเข้าไปซักถามกระทั่งได้ข้อมูลจาก “กระเทย” รายนี้ว่า ทำหน้าที่เป็น “นกต่อ” จัดหาเด็กสาวให้กับคณะเจ้าหน้าที่ที่มาประชุมและเข้าพักที่โรงแรม ได้เงินครั้งละ 500 บาท ส่วนเด็กสาวได้เงินครั้งละ 1,500 บาทถึง 3,000 บาท โดยส่วนใหญ่จะเป็นเด็กตามหมู่บ้านที่ติดยาเสพติด
พนักงานโรงแรมยังให้ข้อมูลอีกว่า เจ้าหน้าที่ที่เรียกใช้บริการเด็กสาว ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าหน้าที่ที่ลงมาตั้งฐานปฏิบัติการตามตัวอำเภอ และเข้ามาพักโรงแรมในเขตเมืองช่วงวันหยุดพักหรือวันที่มีประชุม ส่วนผู้หญิงที่ขายบริการจะเป็นเด็กติดยาเสพติด มีทั้งเด็กมัธยมและนักศึกษา
“เวลามีคณะเข้าพักที่โรงแรม จะมีการโทรศัพท์ไปยังกระเทยนกต่อให้หาเด็กให้ โดยบอกสเปคว่า ต้องการเด็กแบบไหน จากนั้นกระเทยรายนี้ก็จะจัดหามาส่ง และรับเงินค่าบริการไป” พนักงานโรงแรมกลางเมืองปัตตานี ระบุ
“ยาเสพติด” ตัวเร่งสังคมเสื่อม
ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหายาเสพติดที่ระบาดอย่างหนักเข้าไปถึงระดับหมู่บ้านและครัวเรือนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้กลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้สังคมที่เคยสงบ สันติสุข เคร่งศาสนา และประพฤติตนอยู่ในกรอบคำสอนของศาสดา แปรเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างรวดเร็ว
นางลาตีปาร์ มะนาหิง มารดาที่ได้รับรางวัล “แม่ดีเด่น” เพราะทำหน้าที่เลี้ยงลูกสาวถึง 6 คนและลูกชายอีก 1 คน บอกว่า ทุกครั้งเมื่อได้ยินข่าวข่มขืน หรือเด็กสาวหนีตามทหารไป รู้สึกคิดหนักและเครียดมาก ต้องพยายามหาทางสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้ลูกของเราเป็นแบบนั้น
“จะว่าไปก็เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อมีอะไรเข้ามาล่อตา เด็กสาวๆ ก็ต้องหลงระเริงไป ฉะนั้นก็สุดแล้วแต่อัลเลาะฮ์ว่าจะให้ลูกๆ เดินทางไหน เราก็ได้แต่ขอพรให้ลูกๆ ของเราพ้นจากวงจรนี้ บอกตรงๆ ว่าตลอด 7 ปีที่เกิดสถานการณ์ความไม่สงบ สภาพสังคมในพื้นที่ย่ำแย่อย่างมาก โดยเฉพาะยาเสพติดที่ระบาดอย่างหนัก ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นไปได้อย่างไร ทั้งๆ ที่มีเจ้าหน้าที่ลงมาปฏิบัติหน้าที่เป็นจำนวนมาก” ลาตีปาร์ กล่าว
เท่าที่ได้พูดคุยรับฟังความเห็นจากชาวบ้านตามร้านน้ำชาในหลายๆ พื้นที่ ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การระบาดของยาเสพติดเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้สังคมชายแดนใต้เหลวแหลกเละเทะและฟอนเฟะดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
“รักระหว่างรบ” ระหว่างทหารพุทธกับหญิงมุสลิม จึงไม่ใช่นิยายรักของ “คู่ตุนาหงัน” แต่มันมีความจริงอันฟอนเฟะซ่อนอยู่ข้างในนั้น…รอวันที่ทุกฝ่ายจะยอมรับความจริงและเริ่มแก้ไขกันเสียที!
จาก MTODAY ฉบับที่ 11 ประจำวันที่ 16 เมษายน -15 พฤษภาคม 2554
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 51050 ครั้ง