พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ฟีเวอร์ ในกลุ่มมุสลิม
“พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน” เป็นมุสลิม ที่มีศักยภาพสูง สามารถก้าวขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งในรอบ 100 ปี มีเพียงคนเดียวที่ทำได้ ในตำแหน่งสำคัญนี้ เขาได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการล้มรัฐบาล “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ที่ถือว่า มีอำนาจมั่นคงที่สุด ควบคุมทั้งฝ่ายข้าราชการและมวลชน เพื่อนำประเทศไปสู่ “การปฏิรูป” มาวันนี้ เขาเป็น นายทหารที่เคยทำรัฐประหาร เพียงคนเดียวที่กล้าลงเล่นการเมืองในระบบเลือกตั้ง ในฐานะหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ด้วยความมุ่งหวังที่จะร่วมสร้างสรรค์สังคมไทย โดยเฉพาะสังคมมุสลิมให้ดีขึ้น
“ผมเป็นมุสลิมที่มีบรรพบุรุษอยู่เมืองไทยมากว่า 400 ปี แม่เป็นมุสลิมจากกรือเซะ ปัตตานี ที่อพยพมาอยู่กรุงเทพฯ ที่ผ่านมา ก็พยายามทำตัวเป็นมุสลิมที่ดีเพื่อให้สังคมยอมรับมุสลิม สมัยเรียนหนังสือ ผมเคยเรียนโรงเรียนวัด สิ่งที่ทำให้เขารักผมมาก เวลาไม่มีอะไรกิน เขาก็ให้ไข่เค็มมากิน และที่บ้านต้องทำกับข้าวไปกินเอง ครูมาเปิดปิ่นโตดู ชวนนักเรียนทั้งห้องมาดูว่า มุสลิมเขาทำอาหารสะอาดขนาดไหน” พล.อ.สนธิ กล่าว
อดีตนายทหารที่ก้าวขึ้นสู่สูงสุดในกองทัพ กล่าวว่า พอมาเรียนโรงเรียนนายร้อย ก็พยายามทำตัวให้เพื่อนๆรัก ให้เจ้านายรัก ทำงานด้วยความเสียสละ และทุ่มเท เวลามีงานผมให้ความร่วมมือเต็มที่ เจ้านายเขาเห็นตรงนี้ เป็นคนไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เขาก็บอกว่า เอาคนแบบนี้ขึ้นไม่ดีกว่าหรือ ก็มีคนในเหล้าทัพอิจฉาบ้าง ก็เป็นเรื่องธรรมดา สิ่งที่ผมทำ พยายามยึดถือแนวทางของนบีมูฮัมหมัด เป็นคนเดียวในโรงเรียน ในโรงเรียนนายร้อย สิ่งสำคัญคือเราต้องสร้างเอกลักษณ์ให้ได้ และมีระเบียบวินับ ” พล.อ.สนธิ เล่าเบื้องหลังความเป็นมา จนก้าวสู่ตำแหน่งสำคัญของประเทศ
“ผมปกครองคนในกองทัพ 500,00 คน การจะปกครองเขาได้ ต้องทำให้เขาศรัทธาในตัวเรา มี มีวามเชื่อมั่น มีความเคารพ แม้เรามีอำนาจ มีบารมี แต่ที่สำคัญคือ ต้องให้เขาเคารพ” พล.อ.สนธิ กล่าวและว่า “การที่ผมได้เป็นผบ.ทบ. ด้วยผมตัวคนเดียวคงไม่ได้หรอก หากอัลเลาะฮฺไม่ให้ ผมเชื่อในอัลเลาะฮฺ เป็นสิ่งที่อัลเลาะฮฺเมตตา เพราะมุสลิมก้าวเดินแต่ละก้าวไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าอัลเลาะฮฺไม่ให้มา ผมจึงเหนียต(มีความตั้งใจ)ว่า สุดท้ายของชีวิตต้องการทำงานเพื่อสังคม จนกว่าจะตาย เพื่อให้เพื่อน้องมุสลิมดีขึ้น” พล.อ.สนธิ กล่าวถึงการตัดสอนใจเข้าสู่การเมือง
พล.อ.สนธิ กล่าวว่า แม้เป้าหมายต้องการทำเพื่อมุสลิม เพราะพรรคมีส่วนประกอบหลายส่วน ทั้งอีสาน กรุงเทพฯ ภาคกลาง แต่ในฐานะที่เป็นมุสลิม เราเห็นว่า สังคมมุสลิมมีปัญหา และกระทบถึงปัญหาของชาติ พี่น้องมุสลิมคงรู้ดีว่า เรามีปัญหาอะไรบ้าง และที่ผ่านมามีพรรคการเมืองไหนมาช่วยเราบ้าง
“เราไม่ใช่พรรคมุสลิม และไม่ให้ใครพูดเด็ดขาดว่า เราเป็นพรรคมุสลิม เพียงแต่เราเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาให้มุสลิม ไม่ได้มีเป้าหมายอย่างอื่น ชีวิตไม่ต้องการอะไรแล้ว เพราะใหญ่กว่านี้เคยเป็นมาแล้ว ถึงขนาดตั้งนายกฯได้ เป็นมาแล้ว ทรัพย์สินเงินทองก็มีมากพอแล้ว ใช้ไปจนตายก็ไม่หมด แต่เข้ามาเพื่อสังคมมุสลิม ให้อยู่อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีความยิ่งใหญ่ หากเข้ามาแล้วได้เป็นรัฐมนตรีซักกระทรวงหนึ่ง ก็สามารถแก้ปัญหามุสลิมได้ ยกตัวอย่าง เป็นรมว.ศึกษาธิการ ก็สามารถเข้ามาแก้ปัญหาได้ ปัญหานักเรียนถูกห้ามคลุมฮิญาบก็ไม่เกิดขึ้น แต่ถ้าไม่เข้ามาก็ยิ่งหนัก” อดีตประธานคมช. กล่าว และว่า
“อีกอย่างหนึ่ง เราก็เป็นพรรคเล็กๆเราก็ต้องหาที่ยืนให้กับตัวเอง เราต้องกำหนดเป้าหมายและความเป็นไปได้ เราก็มองพื้นที่ 3 จังหวัดเป็นหลัก ปัตตานี ยะลา นราธิวาส จังหวัดแถบอันดามัน สตูล กระบี่ พังงา ภูเก็ต ซึ่งมีมุสลิมเยอะ แต่กรุงเทพฯ ภาคกลาง และภาคอีสานเราก็มีคนลงสมัครในพื้นที่ที่เราพร้อม เรื่องการทำงานการเมือง พรรคเมืองเขาก็ปักธงเป็นภูมิภาค อย่างพรรคเพื่อไทย ก็มีเป้าหมายที่อีสาน พรรคประชาธิปัตย์ มีเป้าหมายที่ภาคใต้ เป็นต้น เป็นแนวทางเหมือนกันหมด” หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ กล่าว
พล.อ.สนธิ กล่าวว่า จากการที่ได้ลงพื้นที่พบปะกับพี่น้องมุสลิมทั่วประเทศ 6 ล้านคนผมไปพบปะมา ก็ได้รับการตอบรับดี ก็คุยกับพี่น้องมุสลิม ให้ทมองทั้งดุนยาและอาคีเราะห์ มองเป็นความเป็นจริง ความเป็นไปได้ เราต้องมาจัดระบบความคิดกัน และว่า เรามีส.ส.มุสลิม กระจายไปหลายพรรค หลังเลือกตั้ง ก็ต้องมานั่งคุยกัน นำมุสลิมทุกคนที่เป็นนักการเมือง มาคุยว่า เราควรกำหนดยุทธศาสตร์ยุทธวิธี และวางอนาคตเขาเราอย่างไร ที่ผ่านมา ส.ส.มุสลิมเรา ไม่ได้ไปสร้างศักยภาพอาจเป็นเพราะความเป็นมา หรือไม่มีคนนำ หรือเพราะเป็นกลุ่มเล็กพูดไปไม่มีคนฟัง ทำให้บางคนพูดแบบสงวนตัว หากเรารวมตัวกัน เรามีพลังทำงานเพื่อมุสลิมได้
หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ กล่าวว่า ที่มีคำถามว่า ตอนเป็นประธานคมช. มีอำนาจ ไม่ได้เข้ามาแก้ปัญหานั้น ถ้ามีอำนาจก็ทำไปแล้ว แต่ไม่มีอำนาจจริง ตอนนั้นถามว่า มีอำนาจตรงไหน มีเวลายู่แค่ 14 วัน เพื่อถ่ายโอน สิ่งที่เรามีให้เขาไป
“ที่ทำไปวันนั้น ต้องการให้บ้านเมืองสงบ ถ้าชนะก็โอเค แต่ถ้าแพ้ก็โดนประหารชีวิต ผมพร้อมที่จะยอมรับความเป็นความตาย เพื่อปกป้องพี่น้องมุสลิม แต่ไม่สามารถบอกได้ว่า ผมไปรู้อะไรมา ผมไม่สามารถบอกได้” พล.อ.สนธิ กล่าว และว่า
“ถ้าเราเป็นนายกฯตอนนั้น คงเป็นไม่ได้ ถ้าเป็นนายกฯตอนนั้น มุสลิมเหลืออะไร คิดว่า ถ้าไม่เป็นดีกว่า เราต้องคิดให้ไกล คิดให้กว้าง เพราะวัฒนธรรมประชาธิปไตยในประเทศไทย ไทยยังไม่เปิดกว้างเหมือนในต่างประเทศ จะเป็น โอบามา เป็นมุสลิมใครมาคนก็รับได้ แต่เมืองไทยยังไม่ใช่ วัฒนธรรมประชาธิปไตย.ยังมาไม่ถึงเวลานั้น ประเทศไทยมีปัญหาการยอมรับ เป็นสิ่งที่ต้องศึกษา แต่ไม่ใช่มุสลิมเป็นนายกฯไม่ได้ แต่ที่เรามาวันนั้น ไม่ใช่ภาวะประชาธิปไตย แต่จากนี้ไป เราถูกเลือกมาโดยประชาชน ถ้าเราถูกเลือกโดยตัวแทนของประชาชน เราก็เป็นได้” พล.อ.สนธิ กล่าว
สำหรับนโยบายที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาสังคมมุสลิม พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน บอกว่า สังคมมุสลิมมีปัญหาอยู่ 2-3 ประการ คือ ปัญหาการศึกษา ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ซึ่งจะไม่บอกว่า เป็นปัญหาความยากจน เพราะมุสลิมไม่ได้ยากจน มีเงินแต่ใช้เงินไม่เป็น เราอยู่เมืองไทยมานาน อย่างตระกูลผมอยู่มา 400 ปี หาคนร่ำรวยไม่มี ตอนลงเลือกตั้งพยายามหามุสลิมร่ำรวยไม่มี ต้องไปพึ่งพาคนอื่น และสุดท้ายปัญหาการทะเลาะเบาะแว้ง ซึ่งมีอยู่ทุกจังวัด
“ผมได้เดินทางไปพบปะกับพี่น้องมุสลิมทุกจังหวัด ไปตรงไหนก็ทะเลาะกัน พอถึงชวนมากินข้าว ไปหาสคนหนึ่ง คนหนึ่งก็จะไม่มา จังหวัดไม่รู้แบ่งเป็นกี่กลุ่ม บางจังหวัดอย่างภูเก็ต 3-4 กลุ่ม ก็ต้องทำให้อยู่ทำงานด้วยกัน เขาพูดกันว่า รักกันไม่แขก แตกกันไม่ใช่เจ็ก เราต้องลดฐิติกัน เขาบอกว่า คนฉลาดแกล้งโง่ไม่เป็น เป็นใหญ่ยาก ถามว่า ทำไม ก็คนฉลาดอวดรู้ไปหมด จริงๆแล้วไม่รู้อะไรเลย เป็นใหญ่ยาก แต่คนถ่อมตนนี่ รู้มาก เพราะเดี๋ยวคนโน่นเล่า เดี๋ยวคนนี้เล่า นี่คือแกล้งโง่ เพราะฉะนั้นมุสลิมต้องฉลาด” พล.อ.สนธิ กล่าว และว่า
“จะว่าไปมุสลิม ทั้งโลกมีแต่ความขัดแย้ง ตะวันออกลางก็มีแต่ความขัดแย้ง มุสลิมรักกันน้อยมาก ผมต้องการทำมุสลิมรักกัน ที่เข้ามาไม่มีอะไรในหัวใจ นอกจากให้มุสลิมเป็นที่รักของคนไทยทั้งประเทศ เมื่อก่อนเราสวมฮิญาบโบกแท็กซี่ แท็กซี่ไม่รับ ขึ้นไปบนแท็กซี่พอรู้ว่าเป็นมุสลิม เขาไล่เราลง ซึ่งปัญหาอยู่ที่ตัวเราเอง ทำตัวเราเอง วันหนึ่งข้างหน้า เราจะขอใส่ฮิญาบ ให้คนไทยยอมรับ อยากมาพูดคุย เข้ามาทักทาย ให้ความรัก ปัญหาต่างๆมีอีกเยอะต้องแก้ไขอย่างมีสติ มีกลยุทธในการแก้ไข บางเรื่องมุสลิมแก้เองไม่ได้ ต้องหาตัวแทนมาแก้”
พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ปัญหาการศึกษา มุสลิมเราเป็นทั้งระบบ อย่างไปทำฮัจญ์ เราไม่มีข้าราชการมุสลิมเลย มีคนพุทธไป จะเข้าไปมักกะห์ ก็ต้องปลอมตัวไป ตอนนี้ เรามีปัญหาคุณภาพการศึกษาต่ำอย่างที่เป็นข่าวว่า มีนักศึกษา 3,000 คน ถูกรีไทร์ ซึ่งปัญหามีทั้งระบบ ตั้งแต่ครูข้อเท็จจริงใน 3 จังหวัด ครูมือดีๆไม่อยู่ 3 จังหวัด มีครูที่ทู้ซี้อยู่ไม่มีที่ไป และครูอัตราจ้าง ไม่ได้ผ่านขั้นตอนการเป็นครู ครูเหล่านี้มีความรู้แค่ไหน เป็นครูครูเกรดต่ำ ยังมีปัญหาเรื่องการก่อการร้าย ครูจะออกจากบ้าน ก็กังวลว่า จะกลับมาถึงบ้านหรือเปล่า อยู่ในโรงเรียนจะกลับถึงบ้านหรือเปล่า พอกลับมาถึงบ้านกังวลว่า จะอยู่ถึงวันพรุ่งนี้หรือเปล่า แล้วครูจะมีสติปัญญาเตรียมตัวสอนอย่างไร เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมภาคใต้ ผลการศึกษาของเด็กจึงออกมาลำดับ 74 75 76 ของประเทศ เป็นความเป็นจริงที่ต้องยอมรับ ส่วนเด็กนักเรียน นอกจากมีปัญหาภัยธรรมชาติแล้ว ยังมีความไม่สงบ มีเวลาเรียนน้อย ถ้าพ่อแม่ มีความสนใจเรื่องการศึกษา ต้องมีวิถีการที่จะแก้ปัญหาองค์กรมุสลิมจะต้องเข้าไปชี้นำ
“ตอนเป็น ผบ.ทบ.ผมส่งนักเรียนจังหวัดภาคใต้เรียนพยาบาล 3,000 คน ได้รับการฟ้องต่อว่า มากมายว่า ไม่มีความรู้ ไม่มีวินัย การไม่รู้การเป็นนักเรียนที่ดี กว่าที่เขาจะมาบ่มเพาะ 300 คน ให้เป็นนักศึกษาที่ดี ต้องใช้เวลาบ่มเพาะนาน ได้ขอโควต้าเข้าเรียนมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เป็น 1,000 คนต่อปี แต่ไม่มีใครไปเรียน เป็นความจริงที่เกิดขึ้น เราต้องแก้ปัญหาระบบการศึกษาทั้งระบบ คุยกับคุณอารีเพ็ญ อุตรสินธ์ว่า ต่อไปต้องให้นักเรียนไปหาโรงเรียน เพราะปัจจุบันโรงเรียนไปหานักเรียน ดังนั้น ต้องทำให้ครูมีศักยภาพ ให้โรงเรียนมีคุณภาพให้เด็กไปหาโรงเรียน ผมต้องการทำให้มุสลิมฉลาด มีความคิด สังคมมุสลิมจึงจะพัฒนา”
“เราให้บุตรหลานเรียนศาสนาเพื่อเป็นคนดี ให้เรียนสามัญเพื่อการรับรู้ เป็นคนฉลาด เพื่อการทำมาหากิน ต้องให้ลูกหลานมุสลิมฉลาด ให้เด็กใช้สติปัญญาตั้งแต่เล็กๆ เขาจะได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง”
ส่วนการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ พล.อ.สนธิ อดีต ผบ.ทบ. กล่าวว่า การทำให้สถานการณ์เบาบางพรรคมาตุภูมิมีแนวคิดที่จะสร้างทบวงกิจการภาคใต้ ซึ่งเหมือนศอ.บต.(ศูนย์บริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้) มีรัฐมนตรีกำกับดูแลเพียงคนเดียว มีอำนาจเต็มที่ มี นโยบายเดียว งบประมาณผ่านคนเดียว และต้องให้คนในพื้นที่ ทำงานในพื้นที่มากที่สุด ภาคประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด
“สมัยผมเป็น ผบ.ทบ. จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ระบุว่า สถานการณ์ดีขึ้น เหตุการณ์ค่อยๆน้อยลงๆ แต่ปัจจุบันเหตุการณ์กลับ เพิ่มขึ้น ตอนนั้นเราเป็นมุสลิมก็ไปบอกให้มุสลิมช่วยกัน แต่ตอนนี้ไม่มีใครไปบอก ประชาชนถอนตัวออกมา ผู้นำศาสนาถอนตัวออกมา ปล่อยให้เจ้าหน้าที่รัฐทำเอง การมีส่วนร่วมมีน้อย ให้ภาคประชาชนแก้ปัญหา ในพื้นที่เรามีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน มีอบต. มีอบจ. ถามว่า ในพื้นที่กำนันผู้ใหญ่บ้านไม่รู้หรือว่าใครเป็นใคร ถ้าให้เขาแก้ไขปัญหาฉันท์พี่น้อง”
พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ทหารที่ลงไปประจำการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะให้มีทหารในพื้นที่มากขึ้น จริงๆแล้ว ได้คุยกับผู้บัญชาการเหล่าทัพไปแล้ว ตามแนวคิดที่ได้คิดไว้ก่อนหน้านี้ให้ใช้ทหารประจำถิ่น ให้กองทัพภาคที่ 4 ทำงานทั้งหมด ถอนทหารที่มาจากที่อื่นออกไป ทหารนอกพื้นที่ไม่รู้วัฒนธรรมประเพณี แม้จะอบรมแล้ว เมื่อลงไปถึงพื้นที่ยังไปถามว่า ทำไมอิสลามต้องละหมาด 5 เวลา แต่หากเป็นทหารในพื้นที่จะรู้จักวัฒนธรรม ประเพณี รู้จักคน รู้จักภูมิประเทศ ก็แก้ปัญหาง่าย แต่เมื่อก่อนกองทัพภาคที่ 4 เป็นกองทัพภาพที่เล็กที่สุด ต้องเอาจากที่อื่นไปเสริม ตอนนี้ได้ขยายอัตราไปแล้ว
“ที่บอกว่า เหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นส่วนหนึ่งมาจากฝ่ายรัฐทำเอง เพื่อต้องการงบประมาณ ผมเห็นว่า เป็นไปได้ลำบาก เพราะงบประมาณให้กองทัพ สมัยเป็นผบ. ทบ.แตะไม่ได้เลยไม่มีโอกาสเข้าไปยุ่งเลย ต้องมีหลักฐานการใข้จ่ายทั้งหมด และสตง.ไปตรวจตลอด อาจมีบ้างจากการจัดซื้อจัดจ้าง ซื้อแพงกว่าเหตุ เกิดจากการประมูล ซึ่งก็ต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบติดตาม เงิน 100% ใช้ไปกับกำลังพล 75% มีเพียง 25% ใช้ในการพัฒนา ใช้งานจิปาถะ โกงไม่ได้หรอก” พล.อ.สนธิ กล่าว
“ที่ผ่านมานักการเมืองมองผลประโยชน์ ทำให้เกิดความขัดแย้งเป็นอุปสรรค์ในการพัฒนาประเทศ คนที่รับทุกข์ทั้งหมดคือประชาชนทุกภาค หากพรรคมาตุภูมิได้มีส่วนในการเข้าไปบริหารประเทศ จะสร้างมิติใหม่ให้ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีรอยยิ้มและความรักเกิดขึ้น พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่ที่ละเอียดอ่อน ถ้าทุกคนรักสามัคคีกันแล้วจะต่อยอดไปสู่ความรักของคนทั้งประเทศ เรามีความหวังที่จะเปลี่ยนแปลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ทุกพื้นที่เป็นสีเขียว และพยายามสร้างพื้นที่สีแดงให้ลบเลือนหายไป และยังมั่นใจว่าคน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้รักตนเองด้วย”
พล.อ.สนธิ กล่าวถึงโอกาสของพรรคมาตุภูมิที่จะได้รับการเลือกตั้งเข้ามาว่า ท่ามกลางกระแสการแข่งขันกันสูงของพรรคใหญ่ 2 พรรค ไม่ใช่ว่า คนจะไปเลือกพรรคใหญ่หมด ถ้าเราไปดูโพลล์ จะเห็นว่า ใน 100% พรรคใหญ่ 2 พรรคมีคะแนนนิยมรวมกันเพียง 50% มีกว่า 30% ที่ยังไม่ตัดสินใจ
“นี่คือ สิ่งที่เราต้องการ เราต้องทำงานการเมืองต่อไปให้ประชาชนได้เห็นว่า แนวคิดของเรากับคนตรงกลางส่วนใหญ่ตรงกันหรือไม่ เขาจะฟังเราหรือไม่ เขาอาจเบื่อซ้าย เบื่อขวา อาจลงมาที่เราได้ ถ้าเกิดพรรคฟีเวอร์เหมือนสมัยคุณสมัคร สุนทรเวช สมัยพล.ต.จำลอง ศรีเมือง เราจะทำอย่างไร ให้คนฟังเรา” พล.อ. สนธิ กล่าว
“ชื่อมั่นว่าการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ พรรคมาตุภูมิจะกวาดที่นั่งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ 8 ที่นั่ง ส่วนที่เหลืออีก 3 ที่นั่ง จะให้พรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยแข่งขันกันเอง” พล.อ.สนธิ กล่าว
พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ตอนนี้ประเทศไทยของเราตกต่ำมาก ขนาดเพื่อนบ้านที่เราเคยให้การช่วยเหลือสมัยที่รบกัน ยังไม่เกรงใจ หลายประเทศที่เคยตามหลังเรา ตอนนี้เขาไปไกลแล้ว มาเลเซียก็ไปไกลแล้ว ไม่ต้องพูดถึงสิงคโปร์ นำหน้าเราไปนานแล้ว อินโดนีเซีย ก็ไปไกลแล้ว เวียดนามก็ไปไกลแล้ว ตอนนี้ เราก็เทียบกับเขมร และลาว หากเราไม่พัฒนาตัวเรา
“ผมต้องการทำให้ประเทศไทย กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง”
——
โต้กระแสโจมตี เป็น ชีอะห์
สิ่งหนึ่งที่ พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน โดนโจมตีในทางการเมืองมาก คือ กล่าวหาว่า เป็นมุสลิมชีอะห์ พล.อ.สนธิ เล่าว่า มีคนพยายามโจมตี มีการพูดกันมากเรื่องเป็นชีอะห์ มีเรื่องที่ขำไม่ออกว่า ขนาดน้า น้องของแม่ ซึ่งได้เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก เจอหน้ายังถามเลยวา เป็นชีอะห์เหรอ เป็นอิทธิพลของการพูดของคนที่ไม่หวังดี
“ยืนยันว่า ผมไม่ได้เป็นชีอะห์ พ่อ แม่ผมก็เป็นซุนหนี่ เรียนหนังสือก็เรียนโรงเรียนสอนศาสนา แต่มีคนมีความพยายามนำประเด็นนี้มาโจมตี”
กษัตริย์ซาอุฯขอดูตัว
พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน เป็นนายทหารมุสลิมที่มีคนรู้จักน้อย ก่อนที่เขาจะยึดอำนาจ รัฐบ่าลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่หลังจากนั้น ไม่เพียงสื่อทั่วโลกพูดถึงเขา แม้แต่กษัตริย์ซาอุดิอารเบียยังต้องการรู้จัก ภายหลังที่ยึดอำนาจแล้ว ได้เดินทางไปทำฮัจญ์ที่มักกะห์ ประเทศซาอุดิอารเบีย เมื่อกษัตรย์ซาอุดิอารเบีย ทราบข่าวจึงได้ประสานกับคณะคนไทยให้ พล.อ.สนธิ เข้าเฝ้า
“เขาอยากรู้จัก เพราะทราบว่า คนที่ยึดอำนาจพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นมุสลิม เพราะตอนนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ มีอำนาจมาก แต่เมื่อมีคนกล้ายึดอำนาจของเขาและเป็นมุสลิมด้วย ทำให้เขาอยากรู้จัก”
ด้วยท่าทีของผู้นำซาอุฯ เป็นเช่นนี้ ก็น่าจะเป็นช่องทางที่ดีว่า หากพล.อ.สนธิ ได้เป็นรัฐบาล ก็จะสามารถประสานแก้ไขปัญหาไทย-ซาอุดิอารเบียได้ จะช่วยให้แรงงานไทยที่เคยไปทำงานซาอุฯ หลายแสนคน ได้มีโอกาสกลับเข้าไปทำงานอีก เพราะซาอุฯเองก็ต้องการแรงงานจากไทย เพราะเป็นแรงงานที่มีฝีมือและมีวินัย แต่ปัญหาความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศที่ซาอุฯมองว่า รัฐบาลไทยไม่มีความจริงใจ คนไทยจึงไม่มีโอกาสไปขุดทองที่ซาอุฯมานาน 20 ปีแล้ว
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 1484 ครั้ง