ข่าวทรมานสัตว์รุมเร้าโลกตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา
เป็นสัปดาห์ของการประชุมต่อรองระหว่าง “การอนุรักษ์” กับ “การค้า” ที่มนุษย์บงการชะตากรรมนานาสัตว์ในโลก บนเวทีไซเตส (CITES) หรืออนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งชนิดของสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์
ผลออกมาแล้วว่า “การค้า” มีชัยเหนือ “การอนุรักษ์”
เมื่อแผนห้ามทำการค้าปลาทูน่าครีบน้ำเงิน ที่ไม่สัมฤทธิผล หลังการล็อบบี้อย่างหนักของรัฐบาลญี่ปุ่น
เมื่อเสือในสวนสัตว์เสิ่นหยางของจีนตายไปแล้ว 13 ตัว ด้วยต้นตอ “ยั่วใจ” จากการค้าชิ้นส่วนเสือ
นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่ลิงในห้องทดลองใหญ่ที่รัฐเนวาดาของสหรัฐ ตายอย่างน่าอเนจอนาถเพราะความสะเพร่าของเจ้าหน้าที่ห้องทดลอง ถูกเครื่องทำความร้อนอบตายไป 30 กว่าตัว
ในขณะที่งานวิจัยของสถาบันแห่งนี้นำไปสู่ผลประโยชน์ทางการค้าใหญ่หลวง
ชัยชนะของรัฐบาลญี่ปุ่นในเวทีการประชุมไซเตสที่มีตัวแทนชาติต่างๆ 175 ประเทศ เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมาพักใหญ่ และมีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้แล้วว่าผลจะออกมาแนวนี้
เพราะญี่ปุ่นเคยชนะมาแล้วในการต่อสู้เพื่อล่าวาฬต่อไปได้ ด้วยข้ออ้างว่า ล่าเพื่อการศึกษาวิจัย
กรณีของปลาทูน่าครีบน้ำเงินนั้นสำคัญกับญี่ปุ่นยิ่งกว่า เนื่องจากเป็นเมนูที่กินกันอย่างกว้างขวาง
แม้ว่ากลุ่มอนุรักษ์จะพยายามนำเสนอข้อมูลว่า ประชากรทูน่าในมหาสมุทรแอตแลนติกหดหายไปกว่าร้อยละ 75 เป็นเพราะมาเสิร์ฟให้กับผู้บรรดาผู้คลั่งไคล้เมนูปลาดิบ
นายซาโตชิ ซูซึกิ หัวหน้าเชฟซูชิ กล่าวว่า ดีมากทีเดียวที่ข้อเสนอห้ามล่าทูน่าตกไปแล้ว ชาวญี่ปุ่นชอบกินทูน่าและแซลมอน
แม้แต่ นายยูกิโอะ ฮาโตยามะ นายกรัฐมน ตรีก็ยังกล่าวฉลองว่า “ดีทีเดียว ผมจะได้กินปลาดิบได้ต่อไป และหมายความว่าการนำเข้าทูน่าครีบน้ำเงินจะดำเนินต่อไปอีกพักหนึ่ง ผมคิดว่าดีทีเดียวที่ราคาทูน่าครีบน้ำเงินจะไม่สูงไปกว่านี้”
ด้านผู้พ่ายแพ้อย่าง โซโยะ ทากาฮาชิ ผู้เชี่ยวชาญจากเครือข่ายเฝ้าระวังการค้าสัตว์ป่า กล่าวว่า ผิดหวังกับการตัดสินใจของไซเตส และยัง ไม่เห็นว่า มีหัวข้อการถกเถียงหาวิธีฟื้นฟูประ ชากรทูน่าในทะเลแอตแลนติกแต่อย่างใด
สำหรับสถานการณ์เสือในเมืองจีน น่าหดหู่ไม่แตกต่างกัน
หลังจากทั่วโลกตกตะลึงกับภาพข่าวเสือในสวนสัตว์เมืองกุ้ยหลิน มณ ฑลกว่างซี ซูบผอมเพราะถูกเลี้ยงดูในสภาพอดๆ อยากๆ
พร้อมข้อสงสัยว่า เมื่อมันตายแล้วจะได้นำอวัยวะไปขายในตลาดมืด
สวนสัตว์ในเสิ่นหยางก็ตกเป็นข่าวอื้อฉาวไปทั่วโลกอีก เมื่อทางการสั่งปิดกิจการ หลังจากมีเสือตายอย่างมีพิรุธแล้ว 13 ตัว
แหล่งข่าวแฉว่า สวนสัตว์ปล่อยให้เสืออยู่อย่างอดอยากเพื่อจะบีบให้มันตาย จะได้เอากระดูกเสือไปขายให้แก่แพทย์แผนจีนปรุงเป็นยาดองเหล้า
แม้การค้าอวัยวะเสือจะเป็นสิ่งต้องห้ามตามกฎหมาย แต่ราคาค่างวดอันสูงลิบลิ่วถึง 2.2 ล้านบาทต่อตัวก็ทำให้แก๊งค้าของเถื่อนพร้อมที่จะเสี่ยง
เหตุการณ์ล่าอวัยวะสัตว์ป่าเช่นนี้เริ่มเป็นที่สนใจ นับตั้งแต่กระทรวงป่าไม้ของอินโดนีเซียตรวจพบการลักลอบขายหนังและกระดูกของเสือพันธุ์สุมาตราขนานใหญ่ในปี 2539
นายสตีฟเฟ่น กัลสเตอร์ เจ้าหน้าที่สืบสวนการค้าสัตว์ป่า กล่าวว่า การเพิ่มจำนวนเสือจะไม่สำเร็จหากขาดการร่วมมือจากประชาชนรากหญ้าและการกำจัดกลุ่มผู้มีอิทธิพลออกไป
การเสียงบประมาณไปกับการประชุมหารือ ไม่มีประโยชน์อะไรเท่ากับการทุ่มงบกำหนดกฎหมายที่รัดกุม และให้เงินสนับสนุนเจ้าหน้าที่ตำรวจ หน่วยงานสิ่งแวดล้อม และชาวบ้านในพื้นที่เพื่อต่อสู้กับอาชญา กรรมทางสัตว์ป่าในขณะนี้
รายงานระบุว่า มีเสือเพียง 3,200 ตัวเท่านั้นที่ยังมีชีวิตรอดอยู่ในป่าของทวีปเอเชียและรัสเซียตะวันออก
สาเหตุของการใกล้สูญพันธุ์เกิดจากการล่าเสือเพื่อนำมาทำยาบำรุง การรุกล้ำถิ่นที่อยู่ และการฆ่าเมื่อเสือบุกรุกที่อยู่อาศัยของมนุษย์
นอกจากนี้ ยังพบว่าเสือสามสายพันธุ์ถูกล่าจนใกล้สูญพันธุ์ และสายพันธุ์จีนใต้ หายสาบสูญไปกว่า 10 ปีแล้ว
ส่วนสถานการณ์เสือในสวนสัตว์ นายหัว หนิง ผู้อำนวยการกองทุนเพื่อการสงเคราะห์สัตว์ป่าแห่งชาติจีน กล่าวว่า สวนสัตว์ในจีนเปิดขึ้นอย่างไม่มีมาตรฐาน ผู้ประกอบการไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ที่เพียบพร้อม หรือแม้แต่ความรู้ในการให้อาหารสัตว์ เพียงมีเงินก็มีอำนาจที่จะเปิด ซึ่งเมื่อเจ้าของรู้ตัวว่าขาดทุน สัตว์ป่าเหล่านั้นก็จะถูกปล่อยให้อดตาย
ปีเสือเป็นฤกษ์ดีที่จะช่วยเสือจากการสูญพันธุ์ แต่นักอนุรักษ์กล่าวว่า โลกไม่มีวันบรรลุเป้าหมายเพิ่มจำนวนเสือให้เป็นสองเท่าได้
หากยังมีการค้าอวัยวะเถื่อนและเจ้าหน้าที่รัฐหย่อนยานในการเอาผิดกับแก๊งค้าของเถื่อนอย่างจริงจัง
หรือร่วมทำผิดเสียเอง
ที่มา:ข่าวสดรายวัน
บทความนี้ถูกอ่านไปแล้ว 1659 ครั้ง